โดย...อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี (อ.แอน)
ซือหม่าเชียน ที่เคยเรารู้จักจากภาพยนต์เรื่อง หมอดูเทวดา สมัยฮั่นอู่ตี้ ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ เขียนถึง ซุนปิน ว่า
"เมื่อซุนหวู่ตายไปประมาณร้อยปี นับไปได้ห้าชั่วคน ถึงซุนปิน ทายาทชั้นเหลน เกิดที่อำเภอจ้วน จังหวัดโว (ปัจจุบันคือ อำเภอ จ้วนเฉิง มณฑลซานตง) ซุนปินทำศึกมีชัยชนะต่อศัตรูคู่แค้นด้วยกลศึกที่แยบยล ต่อมาลาออกจากราชการเพื่อเขียนตำราพิชัยสงครามอันเลื่องลือว่า "ซุนปิงปิงฟะ" (“ตำรายุทธพิชัยสงครามซุนปิ้น (孙膑兵法)”)
"เมื่อซุนหวู่ตายไปประมาณร้อยปี นับไปได้ห้าชั่วคน ถึงซุนปิน ทายาทชั้นเหลน เกิดที่อำเภอจ้วน จังหวัดโว (ปัจจุบันคือ อำเภอ จ้วนเฉิง มณฑลซานตง) ซุนปินทำศึกมีชัยชนะต่อศัตรูคู่แค้นด้วยกลศึกที่แยบยล ต่อมาลาออกจากราชการเพื่อเขียนตำราพิชัยสงครามอันเลื่องลือว่า "ซุนปิงปิงฟะ" (“ตำรายุทธพิชัยสงครามซุนปิ้น (孙膑兵法)”)
ตามประวัติ
ซุนปิน เป็นศิษย์สำนักหุบเขาปีศาจ ซึ่งในยุคจ้านกว๋อนั้น
จัดเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดัง น่ากลัว โด่งดัง
เพราะศิษย์สำนักนี้ได้เป็นที่ปรึกษาหรือเสนาธิการชั้นเลิศทุกคน น่ากลัว
คือวิธีการฝึกศิษย์ แต่ไม่มีใครบันทึกไว้เป็นหลักฐานแน่ชัด
อาจเป็นเพราะรับยาก จบยาก มีน้อย และก็เป็นที่ปรึกษากันไปหมด
ที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ ก็มี ซุนปิน กับ ผางเจวียน ที่กำลังจะแนะนำตัวรายต่อไป
เจ้าสำนัก หรืออาจารย์เจ้าสำนัก มีเพียงฉายาที่ไม่ปรากฏนามจริงว่า "กุ่ยกู่เซียนเซิง" สาเหตุที่เป็นซินแสที่มีฉายาว่าตามนามหุบเขาปีศาจ เพราะไม่มีใครเคยเห็นตัวเลย แม้ในหุบเขาก็คงไม่มีใครเคยเข้าไป เพราะเยือกเย็นเงียบเหงาปานนั้น สมัยก่อนกลัวภูตผีปีศาจกว่าปัจจุบันเยอะ ไม่มีแทรกเตอร์ ไม่มีเสียงอึกทึก เลยปล่อยเงียบไม่มีใครเข้าไป ความลึกลับก็เป็นที่ที่ถูกเหมาว่ามีปีศาจ
แท้จริงแล้ว กุ่ยกู่เซียนเซิง คือทายาทสืบทอดของซุนหวู่ เพราะไม่เคยมีประวัติว่ารับศิษย์ใดอีกนอกจากซุนปิน ถึงจะมีผางเจวียนก็ไช่ว่าจะเต็มใจรับ และวิธีการรับก็แสนจะพิศดาร คือ ต้องเด็ดใบไม้หน้าหุบเขาส่งเข้าไปก่อน โดยมีเด็กรับใช้หน้าตายเป็นผู้รับเข้า ไปให้อาจารย์ดู และสังเกตวิธีเด็ดด้วยว่า เด็ดด้านหน้าต้นไม้ หรืออ้อมหลัง เด็ดใบแก่ อ่อน เด็ดแล้วมียางหรือไม่ เด็ดแล้วลากเอาเปลือกไม้มาด้วยหรือเปล่า วิธีเด็ดเป็นอย่างไร ให้กลับมารายงานให้ละเอียด
ครั้งนั้นซุนปิน หนุ่มน้อย อยากเป็นศิษย์ ทั้งที่รู้ข่าวว่าไม่มีใครผ่านได้ ก็อยากลองเสี่ยงดู ไปกับเพื่อนรุ่นพี่ นามว่าผางเจวียน ตัวเองผ่านข้อทดสอบ ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ดูตัว แต่ผางเจวียนไม่ผ่าน ผางเจวียนขอรอเพื่อนอยู่ข้างนอกด้วยความเป็นห่วง
สรุปว่าผ่าน เพราะวิธีเด็ดใบไม้ของซุนปินแสดงถึง ความเป็นคนซื่อ ใจเย็น หนักแน่น รอบคอบ คำนึงถึงคนอื่น ในขณะที่ของผางเจวียนแสดงถึงความโหด ใจร้อน และไม่คำนึงถึงใคร
ซุนปินสู่อุตส่าห์ขอร้องแทนเพื่อนให้อาจารย์รับศิษย์อีกคนเป็นเพื่อนกัน อาจารย์โหดแต่ชื่อแต่ใจดี ก็ยอมตามรับคู่กัน เรียนทั้ง บุ๋นและบู๊
ถึงตอนนี้คงอยากรู้ว่าเด็ดใบไม้อย่างไรถึงใจเย็น รอบคอบ นึกถึงคนอื่น...
ซุนปิน เด็ดใบไม้เลือกใบแก่ เป็นประการแรก ผางเจวียน เลือกใบอ่อนเพราะเด็ดง่าย แสดงให้เห็นว่า เอาง่ายไว้ก่อน หยาบเกินกว่าที่จะคิดว่า ใบอ่อนยังเติบโต ให้ความสวยกับต้นและให้ความร่มเย็นได้อีก ที่ซุนปินเลือกใบแก่เพราะไม่ปรารถนาทำลายต้นไม้ ใบแก่กำลังจะร่วงอยู่แล้ว เด็ดก็ง่ายเหมือนกันเพราะยังไงก็ร่วงอยู่แล้ว ยางก็น้อย แสดงว่าเป็นคนใจเย็น รอบคอบและนึกถึงผู้อื่น
ประการที่สอง ซุนปินอ้อมไปเด็ดด้านหลัง เพราะไม่อยากให้ต้นไม้แหว่ง หรือถ้ามียาง จะไหลเห็นร่องรอย คือความรอบคอบ นึกถึงผู้อื่น ผางเจวียนนั้น เด็ดคือเด็ด ไม่คำนึงถึงความสวยของหุบเขาปีศาจ ซุนปินสังเกตว่าต้นไม้เยอะ สวยงาม แสดงว่าเจ้าหุบเขารักต้นไม้ แสดงถึงความเป็นคนช่างสังเกต เพราะผู้ที่จะร่ำเรียนวิชานี้ต้องเป็นคนช่างสังเกตอย่างมาก ไม่เหลวไหลหรือเผอเรอ
ประการที่สาม ซุนปินเด็ดใบไม้ ปลิดขั้วโดยใช้สองมือ ไม่กระเทือนถึงเปลือกไม้ ผางเจวียนเด็ดด้วยมือเดียวมีเปลือกติดมาด้วย สองมือคือ ระมัดระวัง ตั้งใจ มือเดียวคือ ไม่ใส่ใจ ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
เห็นไหมกระทั่งวิธีเด็ดใบไม้ยังบอกถึงลักษณะนิสัยของคนและยังทายอนาคตได้อีกด้วยดังที่จะขยายความต่อ ๆ ไป
เมื่อเข้าเป็นศิษย์แล้วเรื่องราวที่น่าสนใจจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนนี้ก็ไปฝึกเด็ดใบไม้ก่อน เผื่อว่าเจ้าหุบเขาปีศาจ จะฟื้นคืนชีพมาสอนวิชาให้เรา
ซุนปินได้เข้าเรียนวิชาพิชัยสงคราม ร่ำเรียนวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ดูพื้นที่ ฝึกทั้งบุ๋นและบู๊ไปพร้อม ๆ กับผางเจวียน ต่อมาผางเจวียนเห็นว่าสมควรแก่เวลา รีบจบก่อนเพื่อเลือกเมืองที่จะเป็นที่ปรึกษา แสวงหาความเป็นใหญ่ก่อน จึงลาออกมาเป็นที่ปรึกษาแคว้นเว่ย พร้อมทั้งบอกเพื่อนว่าถ้าคิดทำงานเมื่อไรให้ติดตามตนไปที่แคว้นเว่ย
ผางเจวียนได้เข้าเป็นที่ปรึกษาแคว้นเว่ยสมใจ วันหนึ่งเว่ยอ๋องปรึกษาข้อราชการ ผางเจวียนติดขัดนึกไม่ออก บุคคลที่สติปัญญาไม่แจ่มใสบริสุทธิ์ ย่อมมองโลกแคบ ขาดความสังเกต ทำให้ไม่รู้รอบ ประสบการณ์น้อย ขาดความรอบคอบ ทำให้ขาดปัญญา ดังนั้นผางเจวียนจึงส่งข่าวถึงซุนปินให้มาช่วยโดยด่วน
ตอนนั้นอาจารย์ก็เตือนศิษย์ว่า เรื่องของใครก็ของใครอย่าไปยุ่ง เขาแก้ปัญหาไม่ได้ เราไปแก้ได้ ผางเจวียนเป็นคนที่อิจฉา ซุนปินจะเป็นอันตราย ซุนปินแสนฉลาด จิตใจดี ใช้จิตตนคำนวณทรชน ก็ไม่เชื่ออาจารย์ บอกว่าตนโตมาด้วยกัน นี่เรียกว่าฉลาดแต่ไม่เฉลียว ไม่เชื่อคำอาจารย์ที่ตนกราบไหว้เป็นศิษย์ ทั้งยอมรับนับถือว่าเหนือกว่าตน เป็นอาจารย์ตน กลับไม่เชื่อคำอาจารย์ และซุนปินก็ได้รับผลอย่างสาหัสสากรรจ์ในเวลาต่อมา เวลานั้นด้วยความเมตตาขัดกับชื่อ "ปีศาจ" อาจารย์มอบถุงไถ้หนึ่งใบบอกว่ายามคับขันให้เปิดดู
ปรากฏว่าเมื่อซุนปินมาถึง คำเสวนาในการศึกเป็นที่ถูกใจ เว่ยอ๋องเห็นความเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามของซุนปิน คิดตั้งซุนปินเป็นที่ปรึกษาสองรองผางเจวียน ผางเจวียนเกิดความอิจฉาดังคำคาดคะเนของอาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยน เพ็ดทูลเว่ยอ๋องเป็นทำนองว่า ซุนปินเป็นชาวเมืองฉี ศัตรูของแคว้นเว่ย อาจเป็นภัยในอนาคต ตั้งเป็นที่ปรึกษาลอยก็แล้วกัน
แต่คนเก่งก็คือคนเก่ง จะมีตำแหน่งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะเว่ยอ๋องเรียกมาปรึกษาข้อราชการไม่เคยขาด บางครั้งถึงกับเรียกมาลำพังโดยไม่มีผางเจวียนมาด้วย เป็นอย่างนี้อยู่นานวัน ในที่สุด ผางเจวียนก็คิดว่า ขืนเป็นเช่นนี้ ตนต้องสูญเสียตำแหน่งอย่างแน่นอน จึงเข้ายุยงเว่ยอ๋องว่า ซุนปินมีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ ชอบไปติดต่อเจรจาในทางลับกับผู้คนที่มาจากรัฐฉีเสมอ ผางเจวียนยังทำหลักฐานเท็จ ปรักปรำซุนปินเป็นไส้ศึกมาล้วงความลับรัฐเว่ย ผางเจวียนลงอาญาเถื่อน ตัดเส้นเอ็นที่ขาของซุนปินออกทั้งสองข้าง พร้อมสักหน้าผากในฐานะคนทรยศ แล้วนำไปขังในเล้าหมู คับขันแล้ว ซุนปินนึกถึงคำอาจารย์ เปิดถุงไถ้ดุ พบคำว่า "แกล้งบ้า" ซุนปินก็เข้าใจได้ทันที
ถ้าเราเป็นซุนปิน เราอาจเปิดอ่านตั้งแต่วันแรกที่ลับตาอาจารย์ เราเจอคำว่า แกล้งบ้า คงนึกว่าอาจารย์บ้าโดยไม่ต้องแกล้ง โชคดีที่ซุนปินเชื่ออาจารย์โดยเคร่งครัด เปิดอ่านเวลาคับขันจริง ๆ จึงรู้วิธีแก้ทันที
ซุนปินแกล้งบ้าให้ผางเจวียนตายใจ ถึงขนาดเก็บขี้หมูมาลิ้มลองอย่างเอร็ดอร่อย คือทางรอด ผางเจวียน คลายเวรยามอย่างหนาแน่นนั้น จนซุนปินหาทางเล็ดรอดไปแคว้นฉี
ฉีเวยอ๋อง ปรกติโปรดเลี้ยงคนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊อยู่แล้ว ทั้งยังเคยทรงปรารถนาได้คนตระกูลซุนที่มีชื่อทางบุ๋นและบู๊ ประจวบเหมาะเพียงแต่พบกันในสภาพที่ไม่ทรงโปรดนัก แต่ก็ตั้งให้เป็นที่ปรึกษาช่วยราชการอยู่กับ "เถียนจี้" ผู้บัญชาการทหารสูงสุดรัฐฉี
ใครเคยอ่านสามก๊ก จะเห็นว่าขงเบ้งอ่านประวัติซุนปิน เขียนทางแก้ไขยามคับขันใส่ถุงไถ้ให้จูล่งเหมือนกัน และอึ้งย้งในมังกรหยกก็ใช้วิธีของซุนปิน เอาชนะการต่อสู้กับมองโกล ดังนี้เราเรียกว่า ยุทธการม้าแข่ง ซุนปินนี่แหละต้นตำหรับ
ฉีเว่ยอ๋องโปรดปรานม้าแข่ง มักจัดให้ประลองฝีเท้าอยู่เสมอ เถียนจี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็มีม้าฝีเท้าดีหลายตัว มักนำไปแข่งขันกับฉีเวยอ๋อง ชนะบ้างแพ้บ้าง เสมอบ้าง แต่ส่วนใหญ่แพ้ ล่าสุดก่อนซุนปินมาอยู่ ก็เสียพนันถึง ๕๐๐ ตำลึงทอง วันหนึ่งซุนปินที่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูม้าแข่งมานาน ก็บอกให้เถียนจี้ไปท้าพนันฉีเวยอ๋องใหม่ แล้วให้เพิ่มเดิมพันเป็น ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง โดยให้เถียนจี้เสนอกติกาว่า ให้จัดแข่งม้าเป็นสามเที่ยว ผู้ชนะสองในสาม จึงเป็นผู้ชนะได้เงินรางวัล ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง
เถียนจี้อยากลองที่ปรึกษาหน้าใหม่ ขาพิการ ดูไม่สง่างาม ก็ทำตามทุกอย่าง การแข่งขันแบ่งเป็น
เที่ยวที่ ๑ ซุนปินจัดม้าชั้นสามของเถียนจี้ แข่งกับม้าชั้นหนึ่งของฉีเว่ยอ๋อง ยังไงม้าชั้นหนึ่งก็ไม่แพ้อยู่แล้ว เอาม้าชั้นสามนั่นแหละไปแข่ง ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย ปรากฏว่า ม้าฉีเว่ยอ๋องชนะขาดลอยตามคาด
เที่ยวที่ ๒ จัดม้าชั้นหนึ่งของเถียนจี้ แข่งกับม้าชั้นสองของฉีเวยอ๋อง ปรากฏว่า ม้าของเถียนจี้ชนะแบบลุ้นพอสนุก
เที่ยวที่ ๓ จัดม้าชั้นสองของเถียนจี แข่งกับม้าชั้นสามของฉีเวยอ๋อง
ปรากฏว่า ของเถียนจีชนะกันอย่างสูสี ลุ้นกันขาดใจ
เป็นอันว่า เถียนจี้ได้เงินไป ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง แต่ฉีเวยอ๋องสนุกกับการแข่งขันครั้งนี้มาก ทั้งชื่นชมความคิดอันหลักแหลมของซุนปิน ซุนปินเองก็ได้ใจเถียนจี้ ให้ได้เงินตั้ง ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง
ฉีเวยอ๋อง ทรงมีคำสั่งแต่งตั้งซุนปินเป็นเสนาธิการทหารรัฐฉี
ขงเบ้งวิจารณ์การแข่งม้าครั้งนี้ว่า "แบบนี้ไม่ใช่การแข่งม้าธรรมดา เป็นการวางแผนยุทธการในการทำศึกบนสนามรบ"
เราพึงเป็นอึ้งย้งปรับมาใช้กับสถานการณ์ที่เหมาะสม และคงได้รู้ว่า ที่ปรึกษาสำคัญสมัยสามก๊ก เขาเอาตำราเรียนพิชัยสงครามจากที่ไหน
เหตุการณ์ตอนนี้ให้ข้อคิดเราหลายประการ
ซุนปินเก่งเกิน แม้แต่เพื่อนที่โตมาด้วยกันยังอิจฉาให้ร้ายเกือบถึงตายอย่างน่าอนาถ
ซุนปินเอาตัวรอดแบบยืดได้หดได้ ยอมบ้าอย่างสมจริงสมจัง
ฉีเวยอ๋องไม่มองคนที่ภายนอก มองที่สติปัญญา ที่ใดใจกว้างจะได้คนดีไว้กับตัว
เถียนจี้ และฉีเวยอ๋องเป็นนักกีฬา เอานิสัยของความใจกว้างของนักกีฬามาใช้ในการปกครอง รัฐฉีถึงเข้มแข็ง
" รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ไม่เป็นอันตราย (知彼知已,百战不殆) "
ความหมายก็คือรู้จักศัตรู และ รู้จักตนเอง ไม่ว่าจะรบกี่ครั้งก็ไม่มีทางได้รับความเสียหาย
ซุน ปิน เมื่อเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของแคว้นฉีแล้ว ก็ไม่ลำพองใจ ยังคงเจียมเนื้อเจียมตน วางตนเป็นเพียงกุนซือที่ปรึกษา ไม่วางตัวเป็นขุนนางใหญ่
ก่อน อื่น ขออธิบายสภาพแวดล้อมในยุคซุนปินก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนพุทธศาสนาก่อกำเนิดประมาณร้อยปี ประเทศจีนปกครองด้วยราชวงศ์โจว ใช้ระบบขุนศึก แบ่งออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจว แคว้นใหญ่ๆ มี แคว้น จ้าว เว่ย หาน เอี้ยน ซ่ง ฉิน ฉี ฉู่ อู๋ เย่ว ต่างก็ทำศึกขยายอำนาจขอบเขตการปกครองของตน เพื่อความมั่งคั่งของแคว้น โดยไม่เกรงใจกษัตริย์ราชวงศ์โจว
แคว้น ที่มีอำนาจมาก จะอุดมด้วยขุนศึกและที่ปรึกษาที่มีความสามารถ สำนักปรัชญาทางการเมือง เกิดขึ้นมากมายเพื่อผลิตชนชั้นผู้นำ และแคว้นฉี ก็เป็นหนึ่งแคว้นที่เข็มแข็ง แคว้นเว่ย อยู่ติดลำน้ำฮวงโห มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแคว้นใหญ่เช่นกัน เหมือนปลาอ้วนที่แคว้นอื่นหมายปอง ไม่ถูกกันกับแคว้นฉี มักชิงอำนาจกันอยู่เสมอ แคว้นจ้าว อุดมด้วยวัฒนธรรม ดนตรี โคลงกลอน และสาวงาม ก็เป็นที่ต้องการของแคว้นต่าง ๆ เพื่อเสริมกำลังตน
รัฐ เว่ย เป็นรัฐใหญ่จัดเป็นมหาอำนาจ คงจำได้ว่าผางเจวียนเกาะความเป็นใหญ่อย่างเหนียวแน่นและภาคภูมิใจ นโยบายของรัฐก็เป็นไปตามนิสัยของผางเจวียน เราดูนโยบายบริษัทก็พอรู้นิสัยผู้บริหารว่าน่ารักน่าชังเพียงไร อย่างรัฐเว่ย ชอบระรานรัฐอื่นเป็นประจำ ในที่สุดก็มอบหมายให้ ผางเจวียน ควบตำแหน่งที่ปรึกษาและแม่ทัพ กรีธาทัพโจมตีรัฐจ้าว ครั้งนั้นจ้าวอ๋อง ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากรัฐที่ใกล้ที่สุด ..รัฐฉี... ซึ่งเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน ซ้ำเป็นคู่รักคู่แค้นดั้งเดิมของรัฐเว่ย
ฉี เว่ยอ๋องเห็นสมควรส่งทหารไปช่วย เพราะถ้ารัฐเว่ยชนะศึก จะเป็นการขยายอำนาจและคุกคามรัฐฉีโดยตรง จึงปรึกษาซุนปิน และคิดตั้งซุนปินเป็นแม่ทัพ แต่ซุนปินไม่รับ ให้เหตุผลว่า แม่ทัพผู้พิการไม่สง่างามพอให้ทหารทั้งกองทัพเชื่อฟัง ขอเป็นเพียงเสนาธิการอยู่ในกองทัพก็พอ ฉีเว่ยอ๋องจึงให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ
เถียน จี้ถูกชาตากับซุนปินอยู่แล้ว เพราะซุนปินมีบทเรียนแล้วว่าอยู่อย่างไรไม่ให้คนอิจฉา เถียนจี้ถามก่อน ตามประสาทหารเอาตรง ๆ เลย เดินทัพไปช่วยเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวทันที ซุนปินบอกว่าไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น เสียเวลา เสียเสบียง ทหารเดินทางไกลเหนื่อยเปล่า หันลูกศร มุ่งหน้าเดินทัพไปที่แคว้นเว่ยเลย ไปที่เมืองหลวง คือเมืองต้าเหลียง เพราะตอนนี้เมืองต้าเหลียง จะเหลือแต่คนแก่ สตรีและเด็ก เพราะหนุ่ม ๆ เดินทัพมาที่แคว้นจ้าวกันหมด เมื่อข่าวศึกเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ไปถึงทหารเว่ย ต้องรีบแจ้นกลับเมือง ถอยจากรัฐจ้าวมาทันที เราก็ถอยไม่ต้องรบ วิธีนี้ไม่เสียเลือดเนื้อเลย เถียนจี้เห็นชอบด้วย มุ่งหน้าไปเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ทันที
ฝ่าย ผางเจวียน กำลังเข้าตีเมืองหานตาน จะได้อยู่แล้ว ปรากฏว่ามีข่าวศึก ทหารฉีล้อมเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของเว่ย จำต้องสั่งถอนทัพกลับเมืองเว่ยทันที อย่างรีบร้อนด้วย ซุนปินให้เถียนจี้แยกกำลังไปซุ่มโจมตีระหว่างทาง ทั้งส่งข่าวไปที่แคว้นจ้าวว่า แคว้นฉีมาช่วยแล้วนะ พอเห็นพวกเว่ย ของผางเจวียนถอยทัพ ให้ตามตี
มือชั้นนี้แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ผางเจวียน หลงกลถอยทัพ แล้วถูกพวกแคว้นจ้าวตามตี ผนวกกับทหารฉีที่แบ่งกำลังมาตีกระหนาบ ผางเจวียนเหลือทหารกลับเมืองเว่ย ไม่ถึงครึ่ง
สงคราม ครั้งนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ที่เรียกยุทธการครั้งนี้ว่า "ล้อมเว่ย ช่วยจ้าว" เราคงอ่านกันหลายรอบหน่อยตีความให้แตก เผื่อนำมาช่วยชีวิต แก้ไขเหตุการณ์คับขันของตน ใช้หลัก หาจุดอ่อนให้เจอแล้วโจมตีตรงนั้น ในสงครามขับเคี่ยวแต่ละยุค สังเกตให้ดี จะมีกลยุทธ์อย่างนี้แทรกอยู่ทุกครั้ง
เสร็จ ศึกครั้งนี้ ผางเจวียน รู้ด้วยความเจ็บใจว่า กุนซือคนสำคัญของแคว้นฉี ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนแกล้งบ้า ศิษย์สำนักเดียวกัน เป็นการลองปัญญาครั้งแรกระหว่างคนทั้งสอง
รัฐเว่ยเสียหน้าในการศึก "ล้อมเว่ยช่วยจ้าว" ของซุนปิน ก็ยังไม่เข็ด ยังอยากทำสงครามขยายอาณาเขตต่อไป หนึ่งร้อยปีก่อนพุทธกาล กองทัพเว่ยนำโดย ไท่จื่อซิน พร้อมผางเจวียน ยกทัพตีรัฐหานอีก
รัฐ หานก็ขอความช่วยเหลือจากรัฐฉีตามเคย ฉีเวยอ๋องก็ตามเคยชอบขยายอำนาจด้วยการช่วยเหลืออยู่แล้ว จึงส่งเถียนจี้แม่ทัพและซุนปินไปตามเดิม เถียนจี้ก็เถรตรงใช้แผนเดิม เดินทัพไปล้อมเมืองหลวงของเว่ย คือต้าเหลียงเหมือนเดิม ซุนปินก็ไม่ขัดค้าน แต่พอถึงต้าเหลียง แคว้นเว่ยก็สั่งเลิกทัพทันที
เถียนจี้ก็งงเหมือนกัน แต่พอฟังซุนปิน ก็ร้องอ๋อ รีบทำตามแผน ดังนี้
ถอนค่ายพักครั้งแรก ให้ทิ้งร่องรอยการหุงหาอาหาร แสดงว่ามีกำลังทหารประมาณสิบหมื่นคน
เจ้าสำนัก หรืออาจารย์เจ้าสำนัก มีเพียงฉายาที่ไม่ปรากฏนามจริงว่า "กุ่ยกู่เซียนเซิง" สาเหตุที่เป็นซินแสที่มีฉายาว่าตามนามหุบเขาปีศาจ เพราะไม่มีใครเคยเห็นตัวเลย แม้ในหุบเขาก็คงไม่มีใครเคยเข้าไป เพราะเยือกเย็นเงียบเหงาปานนั้น สมัยก่อนกลัวภูตผีปีศาจกว่าปัจจุบันเยอะ ไม่มีแทรกเตอร์ ไม่มีเสียงอึกทึก เลยปล่อยเงียบไม่มีใครเข้าไป ความลึกลับก็เป็นที่ที่ถูกเหมาว่ามีปีศาจ
แท้จริงแล้ว กุ่ยกู่เซียนเซิง คือทายาทสืบทอดของซุนหวู่ เพราะไม่เคยมีประวัติว่ารับศิษย์ใดอีกนอกจากซุนปิน ถึงจะมีผางเจวียนก็ไช่ว่าจะเต็มใจรับ และวิธีการรับก็แสนจะพิศดาร คือ ต้องเด็ดใบไม้หน้าหุบเขาส่งเข้าไปก่อน โดยมีเด็กรับใช้หน้าตายเป็นผู้รับเข้า ไปให้อาจารย์ดู และสังเกตวิธีเด็ดด้วยว่า เด็ดด้านหน้าต้นไม้ หรืออ้อมหลัง เด็ดใบแก่ อ่อน เด็ดแล้วมียางหรือไม่ เด็ดแล้วลากเอาเปลือกไม้มาด้วยหรือเปล่า วิธีเด็ดเป็นอย่างไร ให้กลับมารายงานให้ละเอียด
ครั้งนั้นซุนปิน หนุ่มน้อย อยากเป็นศิษย์ ทั้งที่รู้ข่าวว่าไม่มีใครผ่านได้ ก็อยากลองเสี่ยงดู ไปกับเพื่อนรุ่นพี่ นามว่าผางเจวียน ตัวเองผ่านข้อทดสอบ ถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ดูตัว แต่ผางเจวียนไม่ผ่าน ผางเจวียนขอรอเพื่อนอยู่ข้างนอกด้วยความเป็นห่วง
สรุปว่าผ่าน เพราะวิธีเด็ดใบไม้ของซุนปินแสดงถึง ความเป็นคนซื่อ ใจเย็น หนักแน่น รอบคอบ คำนึงถึงคนอื่น ในขณะที่ของผางเจวียนแสดงถึงความโหด ใจร้อน และไม่คำนึงถึงใคร
ซุนปินสู่อุตส่าห์ขอร้องแทนเพื่อนให้อาจารย์รับศิษย์อีกคนเป็นเพื่อนกัน อาจารย์โหดแต่ชื่อแต่ใจดี ก็ยอมตามรับคู่กัน เรียนทั้ง บุ๋นและบู๊
ถึงตอนนี้คงอยากรู้ว่าเด็ดใบไม้อย่างไรถึงใจเย็น รอบคอบ นึกถึงคนอื่น...
ซุนปิน เด็ดใบไม้เลือกใบแก่ เป็นประการแรก ผางเจวียน เลือกใบอ่อนเพราะเด็ดง่าย แสดงให้เห็นว่า เอาง่ายไว้ก่อน หยาบเกินกว่าที่จะคิดว่า ใบอ่อนยังเติบโต ให้ความสวยกับต้นและให้ความร่มเย็นได้อีก ที่ซุนปินเลือกใบแก่เพราะไม่ปรารถนาทำลายต้นไม้ ใบแก่กำลังจะร่วงอยู่แล้ว เด็ดก็ง่ายเหมือนกันเพราะยังไงก็ร่วงอยู่แล้ว ยางก็น้อย แสดงว่าเป็นคนใจเย็น รอบคอบและนึกถึงผู้อื่น
ประการที่สอง ซุนปินอ้อมไปเด็ดด้านหลัง เพราะไม่อยากให้ต้นไม้แหว่ง หรือถ้ามียาง จะไหลเห็นร่องรอย คือความรอบคอบ นึกถึงผู้อื่น ผางเจวียนนั้น เด็ดคือเด็ด ไม่คำนึงถึงความสวยของหุบเขาปีศาจ ซุนปินสังเกตว่าต้นไม้เยอะ สวยงาม แสดงว่าเจ้าหุบเขารักต้นไม้ แสดงถึงความเป็นคนช่างสังเกต เพราะผู้ที่จะร่ำเรียนวิชานี้ต้องเป็นคนช่างสังเกตอย่างมาก ไม่เหลวไหลหรือเผอเรอ
ประการที่สาม ซุนปินเด็ดใบไม้ ปลิดขั้วโดยใช้สองมือ ไม่กระเทือนถึงเปลือกไม้ ผางเจวียนเด็ดด้วยมือเดียวมีเปลือกติดมาด้วย สองมือคือ ระมัดระวัง ตั้งใจ มือเดียวคือ ไม่ใส่ใจ ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
เห็นไหมกระทั่งวิธีเด็ดใบไม้ยังบอกถึงลักษณะนิสัยของคนและยังทายอนาคตได้อีกด้วยดังที่จะขยายความต่อ ๆ ไป
เมื่อเข้าเป็นศิษย์แล้วเรื่องราวที่น่าสนใจจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนนี้ก็ไปฝึกเด็ดใบไม้ก่อน เผื่อว่าเจ้าหุบเขาปีศาจ จะฟื้นคืนชีพมาสอนวิชาให้เรา
ซุนปินได้เข้าเรียนวิชาพิชัยสงคราม ร่ำเรียนวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ดูพื้นที่ ฝึกทั้งบุ๋นและบู๊ไปพร้อม ๆ กับผางเจวียน ต่อมาผางเจวียนเห็นว่าสมควรแก่เวลา รีบจบก่อนเพื่อเลือกเมืองที่จะเป็นที่ปรึกษา แสวงหาความเป็นใหญ่ก่อน จึงลาออกมาเป็นที่ปรึกษาแคว้นเว่ย พร้อมทั้งบอกเพื่อนว่าถ้าคิดทำงานเมื่อไรให้ติดตามตนไปที่แคว้นเว่ย
ผางเจวียนได้เข้าเป็นที่ปรึกษาแคว้นเว่ยสมใจ วันหนึ่งเว่ยอ๋องปรึกษาข้อราชการ ผางเจวียนติดขัดนึกไม่ออก บุคคลที่สติปัญญาไม่แจ่มใสบริสุทธิ์ ย่อมมองโลกแคบ ขาดความสังเกต ทำให้ไม่รู้รอบ ประสบการณ์น้อย ขาดความรอบคอบ ทำให้ขาดปัญญา ดังนั้นผางเจวียนจึงส่งข่าวถึงซุนปินให้มาช่วยโดยด่วน
ตอนนั้นอาจารย์ก็เตือนศิษย์ว่า เรื่องของใครก็ของใครอย่าไปยุ่ง เขาแก้ปัญหาไม่ได้ เราไปแก้ได้ ผางเจวียนเป็นคนที่อิจฉา ซุนปินจะเป็นอันตราย ซุนปินแสนฉลาด จิตใจดี ใช้จิตตนคำนวณทรชน ก็ไม่เชื่ออาจารย์ บอกว่าตนโตมาด้วยกัน นี่เรียกว่าฉลาดแต่ไม่เฉลียว ไม่เชื่อคำอาจารย์ที่ตนกราบไหว้เป็นศิษย์ ทั้งยอมรับนับถือว่าเหนือกว่าตน เป็นอาจารย์ตน กลับไม่เชื่อคำอาจารย์ และซุนปินก็ได้รับผลอย่างสาหัสสากรรจ์ในเวลาต่อมา เวลานั้นด้วยความเมตตาขัดกับชื่อ "ปีศาจ" อาจารย์มอบถุงไถ้หนึ่งใบบอกว่ายามคับขันให้เปิดดู
ปรากฏว่าเมื่อซุนปินมาถึง คำเสวนาในการศึกเป็นที่ถูกใจ เว่ยอ๋องเห็นความเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามของซุนปิน คิดตั้งซุนปินเป็นที่ปรึกษาสองรองผางเจวียน ผางเจวียนเกิดความอิจฉาดังคำคาดคะเนของอาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยน เพ็ดทูลเว่ยอ๋องเป็นทำนองว่า ซุนปินเป็นชาวเมืองฉี ศัตรูของแคว้นเว่ย อาจเป็นภัยในอนาคต ตั้งเป็นที่ปรึกษาลอยก็แล้วกัน
แต่คนเก่งก็คือคนเก่ง จะมีตำแหน่งหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะเว่ยอ๋องเรียกมาปรึกษาข้อราชการไม่เคยขาด บางครั้งถึงกับเรียกมาลำพังโดยไม่มีผางเจวียนมาด้วย เป็นอย่างนี้อยู่นานวัน ในที่สุด ผางเจวียนก็คิดว่า ขืนเป็นเช่นนี้ ตนต้องสูญเสียตำแหน่งอย่างแน่นอน จึงเข้ายุยงเว่ยอ๋องว่า ซุนปินมีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ ชอบไปติดต่อเจรจาในทางลับกับผู้คนที่มาจากรัฐฉีเสมอ ผางเจวียนยังทำหลักฐานเท็จ ปรักปรำซุนปินเป็นไส้ศึกมาล้วงความลับรัฐเว่ย ผางเจวียนลงอาญาเถื่อน ตัดเส้นเอ็นที่ขาของซุนปินออกทั้งสองข้าง พร้อมสักหน้าผากในฐานะคนทรยศ แล้วนำไปขังในเล้าหมู คับขันแล้ว ซุนปินนึกถึงคำอาจารย์ เปิดถุงไถ้ดุ พบคำว่า "แกล้งบ้า" ซุนปินก็เข้าใจได้ทันที
ถ้าเราเป็นซุนปิน เราอาจเปิดอ่านตั้งแต่วันแรกที่ลับตาอาจารย์ เราเจอคำว่า แกล้งบ้า คงนึกว่าอาจารย์บ้าโดยไม่ต้องแกล้ง โชคดีที่ซุนปินเชื่ออาจารย์โดยเคร่งครัด เปิดอ่านเวลาคับขันจริง ๆ จึงรู้วิธีแก้ทันที
ซุนปินแกล้งบ้าให้ผางเจวียนตายใจ ถึงขนาดเก็บขี้หมูมาลิ้มลองอย่างเอร็ดอร่อย คือทางรอด ผางเจวียน คลายเวรยามอย่างหนาแน่นนั้น จนซุนปินหาทางเล็ดรอดไปแคว้นฉี
ฉีเวยอ๋อง ปรกติโปรดเลี้ยงคนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊อยู่แล้ว ทั้งยังเคยทรงปรารถนาได้คนตระกูลซุนที่มีชื่อทางบุ๋นและบู๊ ประจวบเหมาะเพียงแต่พบกันในสภาพที่ไม่ทรงโปรดนัก แต่ก็ตั้งให้เป็นที่ปรึกษาช่วยราชการอยู่กับ "เถียนจี้" ผู้บัญชาการทหารสูงสุดรัฐฉี
ใครเคยอ่านสามก๊ก จะเห็นว่าขงเบ้งอ่านประวัติซุนปิน เขียนทางแก้ไขยามคับขันใส่ถุงไถ้ให้จูล่งเหมือนกัน และอึ้งย้งในมังกรหยกก็ใช้วิธีของซุนปิน เอาชนะการต่อสู้กับมองโกล ดังนี้เราเรียกว่า ยุทธการม้าแข่ง ซุนปินนี่แหละต้นตำหรับ
ฉีเว่ยอ๋องโปรดปรานม้าแข่ง มักจัดให้ประลองฝีเท้าอยู่เสมอ เถียนจี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็มีม้าฝีเท้าดีหลายตัว มักนำไปแข่งขันกับฉีเวยอ๋อง ชนะบ้างแพ้บ้าง เสมอบ้าง แต่ส่วนใหญ่แพ้ ล่าสุดก่อนซุนปินมาอยู่ ก็เสียพนันถึง ๕๐๐ ตำลึงทอง วันหนึ่งซุนปินที่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูม้าแข่งมานาน ก็บอกให้เถียนจี้ไปท้าพนันฉีเวยอ๋องใหม่ แล้วให้เพิ่มเดิมพันเป็น ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง โดยให้เถียนจี้เสนอกติกาว่า ให้จัดแข่งม้าเป็นสามเที่ยว ผู้ชนะสองในสาม จึงเป็นผู้ชนะได้เงินรางวัล ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง
เถียนจี้อยากลองที่ปรึกษาหน้าใหม่ ขาพิการ ดูไม่สง่างาม ก็ทำตามทุกอย่าง การแข่งขันแบ่งเป็น
เที่ยวที่ ๑ ซุนปินจัดม้าชั้นสามของเถียนจี้ แข่งกับม้าชั้นหนึ่งของฉีเว่ยอ๋อง ยังไงม้าชั้นหนึ่งก็ไม่แพ้อยู่แล้ว เอาม้าชั้นสามนั่นแหละไปแข่ง ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย ปรากฏว่า ม้าฉีเว่ยอ๋องชนะขาดลอยตามคาด
เที่ยวที่ ๒ จัดม้าชั้นหนึ่งของเถียนจี้ แข่งกับม้าชั้นสองของฉีเวยอ๋อง ปรากฏว่า ม้าของเถียนจี้ชนะแบบลุ้นพอสนุก
เที่ยวที่ ๓ จัดม้าชั้นสองของเถียนจี แข่งกับม้าชั้นสามของฉีเวยอ๋อง
ปรากฏว่า ของเถียนจีชนะกันอย่างสูสี ลุ้นกันขาดใจ
เป็นอันว่า เถียนจี้ได้เงินไป ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง แต่ฉีเวยอ๋องสนุกกับการแข่งขันครั้งนี้มาก ทั้งชื่นชมความคิดอันหลักแหลมของซุนปิน ซุนปินเองก็ได้ใจเถียนจี้ ให้ได้เงินตั้ง ๑,๐๐๐ ตำลึงทอง
ฉีเวยอ๋อง ทรงมีคำสั่งแต่งตั้งซุนปินเป็นเสนาธิการทหารรัฐฉี
ขงเบ้งวิจารณ์การแข่งม้าครั้งนี้ว่า "แบบนี้ไม่ใช่การแข่งม้าธรรมดา เป็นการวางแผนยุทธการในการทำศึกบนสนามรบ"
เราพึงเป็นอึ้งย้งปรับมาใช้กับสถานการณ์ที่เหมาะสม และคงได้รู้ว่า ที่ปรึกษาสำคัญสมัยสามก๊ก เขาเอาตำราเรียนพิชัยสงครามจากที่ไหน
เหตุการณ์ตอนนี้ให้ข้อคิดเราหลายประการ
ซุนปินเก่งเกิน แม้แต่เพื่อนที่โตมาด้วยกันยังอิจฉาให้ร้ายเกือบถึงตายอย่างน่าอนาถ
ซุนปินเอาตัวรอดแบบยืดได้หดได้ ยอมบ้าอย่างสมจริงสมจัง
ฉีเวยอ๋องไม่มองคนที่ภายนอก มองที่สติปัญญา ที่ใดใจกว้างจะได้คนดีไว้กับตัว
เถียนจี้ และฉีเวยอ๋องเป็นนักกีฬา เอานิสัยของความใจกว้างของนักกีฬามาใช้ในการปกครอง รัฐฉีถึงเข้มแข็ง
" รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ไม่เป็นอันตราย (知彼知已,百战不殆) "
ความหมายก็คือรู้จักศัตรู และ รู้จักตนเอง ไม่ว่าจะรบกี่ครั้งก็ไม่มีทางได้รับความเสียหาย
ซุน ปิน เมื่อเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของแคว้นฉีแล้ว ก็ไม่ลำพองใจ ยังคงเจียมเนื้อเจียมตน วางตนเป็นเพียงกุนซือที่ปรึกษา ไม่วางตัวเป็นขุนนางใหญ่
ก่อน อื่น ขออธิบายสภาพแวดล้อมในยุคซุนปินก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนพุทธศาสนาก่อกำเนิดประมาณร้อยปี ประเทศจีนปกครองด้วยราชวงศ์โจว ใช้ระบบขุนศึก แบ่งออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจว แคว้นใหญ่ๆ มี แคว้น จ้าว เว่ย หาน เอี้ยน ซ่ง ฉิน ฉี ฉู่ อู๋ เย่ว ต่างก็ทำศึกขยายอำนาจขอบเขตการปกครองของตน เพื่อความมั่งคั่งของแคว้น โดยไม่เกรงใจกษัตริย์ราชวงศ์โจว
แคว้น ที่มีอำนาจมาก จะอุดมด้วยขุนศึกและที่ปรึกษาที่มีความสามารถ สำนักปรัชญาทางการเมือง เกิดขึ้นมากมายเพื่อผลิตชนชั้นผู้นำ และแคว้นฉี ก็เป็นหนึ่งแคว้นที่เข็มแข็ง แคว้นเว่ย อยู่ติดลำน้ำฮวงโห มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแคว้นใหญ่เช่นกัน เหมือนปลาอ้วนที่แคว้นอื่นหมายปอง ไม่ถูกกันกับแคว้นฉี มักชิงอำนาจกันอยู่เสมอ แคว้นจ้าว อุดมด้วยวัฒนธรรม ดนตรี โคลงกลอน และสาวงาม ก็เป็นที่ต้องการของแคว้นต่าง ๆ เพื่อเสริมกำลังตน
รัฐ เว่ย เป็นรัฐใหญ่จัดเป็นมหาอำนาจ คงจำได้ว่าผางเจวียนเกาะความเป็นใหญ่อย่างเหนียวแน่นและภาคภูมิใจ นโยบายของรัฐก็เป็นไปตามนิสัยของผางเจวียน เราดูนโยบายบริษัทก็พอรู้นิสัยผู้บริหารว่าน่ารักน่าชังเพียงไร อย่างรัฐเว่ย ชอบระรานรัฐอื่นเป็นประจำ ในที่สุดก็มอบหมายให้ ผางเจวียน ควบตำแหน่งที่ปรึกษาและแม่ทัพ กรีธาทัพโจมตีรัฐจ้าว ครั้งนั้นจ้าวอ๋อง ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากรัฐที่ใกล้ที่สุด ..รัฐฉี... ซึ่งเป็นมหาอำนาจเหมือนกัน ซ้ำเป็นคู่รักคู่แค้นดั้งเดิมของรัฐเว่ย
ฉี เว่ยอ๋องเห็นสมควรส่งทหารไปช่วย เพราะถ้ารัฐเว่ยชนะศึก จะเป็นการขยายอำนาจและคุกคามรัฐฉีโดยตรง จึงปรึกษาซุนปิน และคิดตั้งซุนปินเป็นแม่ทัพ แต่ซุนปินไม่รับ ให้เหตุผลว่า แม่ทัพผู้พิการไม่สง่างามพอให้ทหารทั้งกองทัพเชื่อฟัง ขอเป็นเพียงเสนาธิการอยู่ในกองทัพก็พอ ฉีเว่ยอ๋องจึงให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ
เถียน จี้ถูกชาตากับซุนปินอยู่แล้ว เพราะซุนปินมีบทเรียนแล้วว่าอยู่อย่างไรไม่ให้คนอิจฉา เถียนจี้ถามก่อน ตามประสาทหารเอาตรง ๆ เลย เดินทัพไปช่วยเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวทันที ซุนปินบอกว่าไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น เสียเวลา เสียเสบียง ทหารเดินทางไกลเหนื่อยเปล่า หันลูกศร มุ่งหน้าเดินทัพไปที่แคว้นเว่ยเลย ไปที่เมืองหลวง คือเมืองต้าเหลียง เพราะตอนนี้เมืองต้าเหลียง จะเหลือแต่คนแก่ สตรีและเด็ก เพราะหนุ่ม ๆ เดินทัพมาที่แคว้นจ้าวกันหมด เมื่อข่าวศึกเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ไปถึงทหารเว่ย ต้องรีบแจ้นกลับเมือง ถอยจากรัฐจ้าวมาทันที เราก็ถอยไม่ต้องรบ วิธีนี้ไม่เสียเลือดเนื้อเลย เถียนจี้เห็นชอบด้วย มุ่งหน้าไปเมืองต้าเหลียง แคว้นเว่ย ทันที
ฝ่าย ผางเจวียน กำลังเข้าตีเมืองหานตาน จะได้อยู่แล้ว ปรากฏว่ามีข่าวศึก ทหารฉีล้อมเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของเว่ย จำต้องสั่งถอนทัพกลับเมืองเว่ยทันที อย่างรีบร้อนด้วย ซุนปินให้เถียนจี้แยกกำลังไปซุ่มโจมตีระหว่างทาง ทั้งส่งข่าวไปที่แคว้นจ้าวว่า แคว้นฉีมาช่วยแล้วนะ พอเห็นพวกเว่ย ของผางเจวียนถอยทัพ ให้ตามตี
มือชั้นนี้แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ผางเจวียน หลงกลถอยทัพ แล้วถูกพวกแคว้นจ้าวตามตี ผนวกกับทหารฉีที่แบ่งกำลังมาตีกระหนาบ ผางเจวียนเหลือทหารกลับเมืองเว่ย ไม่ถึงครึ่ง
สงคราม ครั้งนี้มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ที่เรียกยุทธการครั้งนี้ว่า "ล้อมเว่ย ช่วยจ้าว" เราคงอ่านกันหลายรอบหน่อยตีความให้แตก เผื่อนำมาช่วยชีวิต แก้ไขเหตุการณ์คับขันของตน ใช้หลัก หาจุดอ่อนให้เจอแล้วโจมตีตรงนั้น ในสงครามขับเคี่ยวแต่ละยุค สังเกตให้ดี จะมีกลยุทธ์อย่างนี้แทรกอยู่ทุกครั้ง
เสร็จ ศึกครั้งนี้ ผางเจวียน รู้ด้วยความเจ็บใจว่า กุนซือคนสำคัญของแคว้นฉี ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนแกล้งบ้า ศิษย์สำนักเดียวกัน เป็นการลองปัญญาครั้งแรกระหว่างคนทั้งสอง
รัฐเว่ยเสียหน้าในการศึก "ล้อมเว่ยช่วยจ้าว" ของซุนปิน ก็ยังไม่เข็ด ยังอยากทำสงครามขยายอาณาเขตต่อไป หนึ่งร้อยปีก่อนพุทธกาล กองทัพเว่ยนำโดย ไท่จื่อซิน พร้อมผางเจวียน ยกทัพตีรัฐหานอีก
รัฐ หานก็ขอความช่วยเหลือจากรัฐฉีตามเคย ฉีเวยอ๋องก็ตามเคยชอบขยายอำนาจด้วยการช่วยเหลืออยู่แล้ว จึงส่งเถียนจี้แม่ทัพและซุนปินไปตามเดิม เถียนจี้ก็เถรตรงใช้แผนเดิม เดินทัพไปล้อมเมืองหลวงของเว่ย คือต้าเหลียงเหมือนเดิม ซุนปินก็ไม่ขัดค้าน แต่พอถึงต้าเหลียง แคว้นเว่ยก็สั่งเลิกทัพทันที
เถียนจี้ก็งงเหมือนกัน แต่พอฟังซุนปิน ก็ร้องอ๋อ รีบทำตามแผน ดังนี้
ถอนค่ายพักครั้งแรก ให้ทิ้งร่องรอยการหุงหาอาหาร แสดงว่ามีกำลังทหารประมาณสิบหมื่นคน
ถอนค่ายพักครั้งที่สอง
ให้ทิ้งร่องรอยการหุงหาอาหารแสดงว่ามีกำลังทหารห้าหมื่นคน
ถอนค่ายพักครั้งที่สาม ให้ทิ้งร่องรอยการหุงหาอาหารแสดงว่ามีกำลังทหารสามหมื่นคน
ลักษณะการถอนกำลังอย่างนี้ เพื่อให้ฝ่ายเว่ยเข้าใจว่า
ทหารฉีหนีทัพและเป็นการถอยอย่างไม่มีระเบียบ และฉุกละหุกเหมือนประสบปัญหาบางอย่าง
ส่วนผางเจวียน เคยโดนแผนเดิมก็ระวังตัวอยู่แล้ว พอรู้ว่าทัพฉีใช้แผนเดิม
ก็ขอแยกทัพจาก ไท่จื่อซิน แม่ทัพของเว่ย กลับมาหนึ่งกอง
เพื่อคิดบัญชีแค้นกับซุนปิน และเมื่อเดินทัพกลับมาที่ต้าเหลียง ก็ทราบถึงการถอนทัพอย่างไร้ระเบียบของทัพฉีก็กระหยิ่มใจ
คิดย่ามใจตามตีซุนปินให้แหลกลาน จึงเร่งม้าตามอย่างกระชั้นชิด
ใน ที่สุด ตามไปถึงค่ายพักที่ซุนปินทิ้งไว้ครั้งสุดท้าย เมื่อเข้าไปตรวจดูร่องรอย เห็นว่ามีทหารเหลืออยู่แค่กระหยิบมือเดียว ทั้งยังมีรอยรถเข็นของซุนปิน แสดงว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
นี่ เป็นการล่าระหว่างศิษย์สำนักเดียวกัน เรียนวิชาจากอาจารย์เดียวกัน และใช้วิชาที่เรียนมาเหมือน ๆ กันด้วย ซุนปินเลือกสถานที่เผด็จศึกที่ หม่าหลิง หรือ ภูม้า ปัจจุบันอยู่ที่อำเภอฟ่าน ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเหอหนาน
และ กองทัพส่วนใหญ่ของรัฐฉี ก็ไม่ได้หนีทัพหรือยกกลับบ้านตามที่ผังเจวียนเข้าใจ แต่ไปรอที่เส้นทางระหว่างเมืองต้าเหลียงของรัฐเว่ย และหม่าหลิงหรือภูม้า นี่เอง เส้นทางที่ซุนปินล่อให้ผางเจวียนมาติดกับ เป็นซอกเขาหน้าผาสูงชัน มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นบังอยู่สองข้างทางอย่างหนาแน่น
ซุน ปิน จัดกำลังทหารขมังธนูหนึ่งหมื่นคน แอบซุ่มไปตลอดหน้าผาทั้งสองฟากทาง แบ่งข้างละห้าพันคน และสุดทางก็ให้ทหารโค่นต้นไม้มาตั้งขวางทาง ถากกิ่งและใบออกจนเกือบหมด และสลักข้อความว่า "ผางเจวียนสื่อยีฉื่อซู่จือเซี่ย" แปลว่า ผางเจวียนตาย ณ ใต้ต้นไม้นี้ แล้วนัดแนะว่า ถ้าเห็นคบไฟสว่างที่ต้นไม้นี้ให้ระดมยิงธนูทั้งหมด
การติดตามของผางเจวียนพร้อมด้วยกองทัพม้าตะลุยมาถึงช่องแคบเวลาพลบพอดี ไม่ทันเห็นว่าเป็นช่องผาแคบ ตามข้อห้ามในการทำศึก เพราะมีป่าไม้บัง กองทัพเร่งไปจนสุดทาง ทหารต่างตระโกนว่ามีต้นไม้ขวาง ผางเจวียนเร่งร้อนจะทำร้ายซุนปิน รีบลงจากม้าไปที่ต้นไม้ ให้ทหารส่องดูด้วยคบไฟ เมื่อผางเจวียนชูคบไฟสูง ก็อ่านพบข้อความว่า "ผางเจวียนตายที่นี่" พร้อมกับเป็นการให้สัญญาณธนูห้าพันดอกพุ่งตรงมาที่ตน ถูกตรึงไว้กับต้นไม้
เรื่อง ราวตอนนี้ ทำให้ขงเบ้งคาดการณ์ไปถึงการสูญเสียบังทองที่หุบเขาหงส์ตาย ศิษย์ทั้งหลาย จำไว้ว่าเราชื่ออะไร แปลว่าอะไร ธาตุอะไร เมื่อรู้แล้วก็จะรู้ด้วยว่า ไม่ควรไปตรงไหน และจะรักษาทำเลอย่างไร
กอง ทัพไท่จื่อซินที่ตามมา ก็ถูกทหารฉีที่ซุ่มไว้ ดักตีแตกกระเจิงไปหมด เป็นอันว่าทหารเว่ยหนีกลับเข้าเมืองได้ไม่ถึงหมื่นคน ซุนปินสามารถช่วยรัฐหานและสามารถล้างแค้นส่วนตัวได้สำเร็จโดยไม่เสียงาน
อย่าง ไรก็ตาม เป็นความเศร้าลึก ๆ ของซุนปิน ที่ต้องฆ่าศิษย์สำนักเดียวกัน จึงคิดล้างมือ ไม่คิดรับตำแหน่งยอดกุนซือของแคว้นฉี ลาออกจากราชการตัดขาดโลกภายนอก นั่งเขียนตำราพิชัยสงคราม
หลัก ฐานทางประวัติศาสตร์ ฮั่นซู เขียนว่า พิชัยสงครามซุนปิน มีทั้งหมด ๘๙ บท ได้รับการยกย่องว่ามีค่าเลิศล้ำเทียบเท่ากับพิชัยสงครามซุนหวู่ แต่น่าเสียดายค้นพบได้เพียง ๓๐ บทเท่านั้น
เรื่องราวของซุนปิน จบลงเพียงเท่านี้ แต่ก็ให้ข้อคิดแก่เราว่า
ศิษย์ สำนักเดียวกัน หากปราศจากคุณธรรม แม้ใช้วิชาเดียวกัน ธรรมะก็ชนะอธรรม นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า คนฉลาดมาจากความรอบคอบ และเชื่อฟัง และข้อสุดท้าย แผนเดิมที่พลิกแพลงย่อมทำให้คนคาดไม่ถึง ดังแผนพลิกแพลงของซุนปินที่แปลงจาก "ล้อมเว่ยช่วยจ้าว"
ใน ที่สุด ตามไปถึงค่ายพักที่ซุนปินทิ้งไว้ครั้งสุดท้าย เมื่อเข้าไปตรวจดูร่องรอย เห็นว่ามีทหารเหลืออยู่แค่กระหยิบมือเดียว ทั้งยังมีรอยรถเข็นของซุนปิน แสดงว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
นี่ เป็นการล่าระหว่างศิษย์สำนักเดียวกัน เรียนวิชาจากอาจารย์เดียวกัน และใช้วิชาที่เรียนมาเหมือน ๆ กันด้วย ซุนปินเลือกสถานที่เผด็จศึกที่ หม่าหลิง หรือ ภูม้า ปัจจุบันอยู่ที่อำเภอฟ่าน ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเหอหนาน
และ กองทัพส่วนใหญ่ของรัฐฉี ก็ไม่ได้หนีทัพหรือยกกลับบ้านตามที่ผังเจวียนเข้าใจ แต่ไปรอที่เส้นทางระหว่างเมืองต้าเหลียงของรัฐเว่ย และหม่าหลิงหรือภูม้า นี่เอง เส้นทางที่ซุนปินล่อให้ผางเจวียนมาติดกับ เป็นซอกเขาหน้าผาสูงชัน มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นบังอยู่สองข้างทางอย่างหนาแน่น
ซุน ปิน จัดกำลังทหารขมังธนูหนึ่งหมื่นคน แอบซุ่มไปตลอดหน้าผาทั้งสองฟากทาง แบ่งข้างละห้าพันคน และสุดทางก็ให้ทหารโค่นต้นไม้มาตั้งขวางทาง ถากกิ่งและใบออกจนเกือบหมด และสลักข้อความว่า "ผางเจวียนสื่อยีฉื่อซู่จือเซี่ย" แปลว่า ผางเจวียนตาย ณ ใต้ต้นไม้นี้ แล้วนัดแนะว่า ถ้าเห็นคบไฟสว่างที่ต้นไม้นี้ให้ระดมยิงธนูทั้งหมด
การติดตามของผางเจวียนพร้อมด้วยกองทัพม้าตะลุยมาถึงช่องแคบเวลาพลบพอดี ไม่ทันเห็นว่าเป็นช่องผาแคบ ตามข้อห้ามในการทำศึก เพราะมีป่าไม้บัง กองทัพเร่งไปจนสุดทาง ทหารต่างตระโกนว่ามีต้นไม้ขวาง ผางเจวียนเร่งร้อนจะทำร้ายซุนปิน รีบลงจากม้าไปที่ต้นไม้ ให้ทหารส่องดูด้วยคบไฟ เมื่อผางเจวียนชูคบไฟสูง ก็อ่านพบข้อความว่า "ผางเจวียนตายที่นี่" พร้อมกับเป็นการให้สัญญาณธนูห้าพันดอกพุ่งตรงมาที่ตน ถูกตรึงไว้กับต้นไม้
เรื่อง ราวตอนนี้ ทำให้ขงเบ้งคาดการณ์ไปถึงการสูญเสียบังทองที่หุบเขาหงส์ตาย ศิษย์ทั้งหลาย จำไว้ว่าเราชื่ออะไร แปลว่าอะไร ธาตุอะไร เมื่อรู้แล้วก็จะรู้ด้วยว่า ไม่ควรไปตรงไหน และจะรักษาทำเลอย่างไร
กอง ทัพไท่จื่อซินที่ตามมา ก็ถูกทหารฉีที่ซุ่มไว้ ดักตีแตกกระเจิงไปหมด เป็นอันว่าทหารเว่ยหนีกลับเข้าเมืองได้ไม่ถึงหมื่นคน ซุนปินสามารถช่วยรัฐหานและสามารถล้างแค้นส่วนตัวได้สำเร็จโดยไม่เสียงาน
อย่าง ไรก็ตาม เป็นความเศร้าลึก ๆ ของซุนปิน ที่ต้องฆ่าศิษย์สำนักเดียวกัน จึงคิดล้างมือ ไม่คิดรับตำแหน่งยอดกุนซือของแคว้นฉี ลาออกจากราชการตัดขาดโลกภายนอก นั่งเขียนตำราพิชัยสงคราม
หลัก ฐานทางประวัติศาสตร์ ฮั่นซู เขียนว่า พิชัยสงครามซุนปิน มีทั้งหมด ๘๙ บท ได้รับการยกย่องว่ามีค่าเลิศล้ำเทียบเท่ากับพิชัยสงครามซุนหวู่ แต่น่าเสียดายค้นพบได้เพียง ๓๐ บทเท่านั้น
เรื่องราวของซุนปิน จบลงเพียงเท่านี้ แต่ก็ให้ข้อคิดแก่เราว่า
ศิษย์ สำนักเดียวกัน หากปราศจากคุณธรรม แม้ใช้วิชาเดียวกัน ธรรมะก็ชนะอธรรม นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า คนฉลาดมาจากความรอบคอบ และเชื่อฟัง และข้อสุดท้าย แผนเดิมที่พลิกแพลงย่อมทำให้คนคาดไม่ถึง ดังแผนพลิกแพลงของซุนปินที่แปลงจาก "ล้อมเว่ยช่วยจ้าว"
Source : http://www.sana-anong.com/v4/works_detail.php?id=9&page=4&catg=4
No comments:
Post a Comment