"อ้วนเสี้ยว" เจ้าเมืองปุดไฮ
เป็นลูกชายคนโตของตระกูลอ้วนที่ทำงานเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ฮั่นมาหลายชั่วอายุคน
ในช่วงที่ตั๋งโต๊ะครองอำนาจทางการทหารและใช้ความหยาบช้าข่มเข็ญราษฎรนั้น
อ้วนเสี้ยวเป็นตัวตั้งตัวตีในการรวบรวมกองทัพทั้ง 18 หัวเมืองในการกำราบตั๋งโต๊ะ
แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะเจ้าเมืองทั้ง 18 คนไม่ได้มีใจในการกำจัดตั๋งโต๊ะไม่ เพียงแต่เข้าร่วมสมัชชา 18 หัวเมืองเพื่อหวังผลทางการเมือง คอยตั้งท่าจะกำจัดกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวอ้วนเสี้ยวที่เป็นผู้นำเองที่ "เอาเจ้าเมืองทั้ง 18 คนไม่อยู่ บริหารงานไม่เป็น" ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและนโยบายขององค์กร 18 หัวเมืองไม่มีทิศทาง สุดท้ายก็แตกแยกกันเอง สิ้นสุดสมัชชา 18 หัวเมืองจอมปลอมลงไป ภายหลังเสร็จสิ้นศึกเฮาโลก๋วน
แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะเจ้าเมืองทั้ง 18 คนไม่ได้มีใจในการกำจัดตั๋งโต๊ะไม่ เพียงแต่เข้าร่วมสมัชชา 18 หัวเมืองเพื่อหวังผลทางการเมือง คอยตั้งท่าจะกำจัดกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวอ้วนเสี้ยวที่เป็นผู้นำเองที่ "เอาเจ้าเมืองทั้ง 18 คนไม่อยู่ บริหารงานไม่เป็น" ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและนโยบายขององค์กร 18 หัวเมืองไม่มีทิศทาง สุดท้ายก็แตกแยกกันเอง สิ้นสุดสมัชชา 18 หัวเมืองจอมปลอมลงไป ภายหลังเสร็จสิ้นศึกเฮาโลก๋วน
ภายหลังตั๋งโต๊ะถูกโค่นอำนาจ
ขุนศึกแต่ละคนก็ต่างแยกย้ายกันปกครองดินอดนของตน
แผ่นดินจีนแตกกระสานซ่านเซ็นเป็นหลายก๊ก
ขณะนั้นโจโจได้เข้าไปช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ (ฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นในสมัยนั้น)
ในการลี้ภัย และก็ได้ยึดอำนาจทางการทหารทั้งหมดไว้ ใช้บุญคุณในการบีบบังคับแกมต่อรองกับฮ่องเต้ในการออกราชโองการปราบหัวเมืองต่างๆ
(พูดง่ายๆ คือตั๋งโต๊ะไป ก็มีโจโฉมาคุมอำนาจฮ่องเต้ไป
แต่โจโฉต่างกับตั๋งโต๊ะตรงที่กระทำการโดยอ้างอิงบนความชอบธรรม
ไม่เหมือนตั๋งโต๊ะที่กระทำการหยาบช้า) เป็นที่ทุกข์พระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอันมาก
เจ้าเมืองหลายคนต่างคิดการที่จะปราบโจรราชสมบัติโจโฉ
ซึ่งอ้วนเสี้ยวดูจะมีภาษีดีที่สุด เพราะหลังจากตั๋งโต๊ะสิ้นอำนาจลง เขาก็ไปซ่องสุมกำลังที่เมืองปุดไฮทางตอนเหนือ กำลังทหารพร้อมสรรพหลายสิบหมื่น เสบียงอุดมสมบูรณ์ ชัยภูมิที่มั่นดีเยี่ยม ที่ปรึกษาฝีมือดีเพียบ ขุนพลฝีมือกล้าแข็งจำนวนมาก ถ้าหากร่วมมือกับอ้วนสุดผู้น้องแล้ว การกำราบโจโฉที่เพิ่งตั้งตัวได้ มีกำลังแค่ไม่กี่สิบหมื่นและรับศึกหลายดานไม่ใช่เรื่องยากเลย อย่าว่าแต่กำราบโจโฉเลย บารมีตระกูลอ้วนในยุคนั้นสามารถกำราบได้ทั้งแผ่นดิน ตั้งตนเป็นเจ้ายังง่ายแค่พลิกฝ่ามือ หากแต่ทั้งคู่กลับไม่ลงรอยกันเอง เพราะเป็นลูกต่างแม่ อ้วนเสี้ยวเป็นลูกคนโต แต่ไม่ใช่ลูกภรรยาเอก อ้วนสุดเป็นลูกภรรยาเอกแต่ไม่ใช่ลูกคนโต ทั้งคู่จึงดูแคลนและบาดหมางกันมาตลอด รวมถึงนิสัยใจคอที่คับแคบและบริหารงานไม่เป็น ยังผลให้ตระกูลอ้วนล่มสลายในที่สุด
ซึ่งอ้วนเสี้ยวดูจะมีภาษีดีที่สุด เพราะหลังจากตั๋งโต๊ะสิ้นอำนาจลง เขาก็ไปซ่องสุมกำลังที่เมืองปุดไฮทางตอนเหนือ กำลังทหารพร้อมสรรพหลายสิบหมื่น เสบียงอุดมสมบูรณ์ ชัยภูมิที่มั่นดีเยี่ยม ที่ปรึกษาฝีมือดีเพียบ ขุนพลฝีมือกล้าแข็งจำนวนมาก ถ้าหากร่วมมือกับอ้วนสุดผู้น้องแล้ว การกำราบโจโฉที่เพิ่งตั้งตัวได้ มีกำลังแค่ไม่กี่สิบหมื่นและรับศึกหลายดานไม่ใช่เรื่องยากเลย อย่าว่าแต่กำราบโจโฉเลย บารมีตระกูลอ้วนในยุคนั้นสามารถกำราบได้ทั้งแผ่นดิน ตั้งตนเป็นเจ้ายังง่ายแค่พลิกฝ่ามือ หากแต่ทั้งคู่กลับไม่ลงรอยกันเอง เพราะเป็นลูกต่างแม่ อ้วนเสี้ยวเป็นลูกคนโต แต่ไม่ใช่ลูกภรรยาเอก อ้วนสุดเป็นลูกภรรยาเอกแต่ไม่ใช่ลูกคนโต ทั้งคู่จึงดูแคลนและบาดหมางกันมาตลอด รวมถึงนิสัยใจคอที่คับแคบและบริหารงานไม่เป็น ยังผลให้ตระกูลอ้วนล่มสลายในที่สุด
อ้วนเสี้ยวขณะนำทัพ 18 หัวเมืองขึ้นสาบานตน
ในวรรณกรรมสามก๊กนั้นได้เขียนให้ทั้งอ้วนเสี้ยวและอ้วนสุดเป็นลูกชายตระกูลขุนนางมั่งมี
บุคลิกเอาแต่ใจสไตล์ลูกคุณหนู เหตุการ์ที่แสดงถึงจุดด้อยในนิสัยอ้วนเสี้ยวที่สำคัญก็ได้แก่
1. เมื่อครั้งอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำทัพ 18 หัวเมืองเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ ได้มีครั้งหนึ่งที่ต้องรับมือฮัวหยง แม่ทัพของฝ่ายตั๋งโต๊ะ ซึ่งฝ่าย 18 หัวเมืองได้ส่งทหารออกไปดวลเดี่ยวกับฮัวหยงถึง 3 คน แต่ทั้งสามก็ถูกฮัวหยงฆ่าตายทั้งหมด กวนอูซึ่งตอนนั้นอยู่ในเหตุการณ์ได้ลุกขึ้นอาสาออกไปรบกับฮัวหยง อ้วนเสี้ยวจึงถามว่าท่านมียศใด กวนอูซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงหัวหมู่กองเกาทัณฑ์ (สูงกว่าพลทหารแค่ขั้้นเดียว) ก็ได้ตอบไปตามจริง
อ้วนเสี้ยวจึงไม่พอใจและตอบไปว่าสามคนก่อนหน้าเจ้าที่ออกไปรบกับฮัวหยงนั้นต่างมียศไม่พันตรีก็พันโท แต่เจ้ามียศไม่ต่างกับทหารเลวกลับบังอาจมาอาสาออกรบและสั่งให้เอากวนอูไปตัดหัว แต่โจโฉที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้พร้อมกับบอกอ้วนเสี้ยวว่าเขากล้าอาสาแลดงว่ามีดี ถ้าไม่ดีจริงก็ปล่อยให้ฮัวหยงฆ่าทิ้งเสียจะเป็นกระไรไป พร้อมกับไปอุ่นเหล้ามาให้กวนอูเพื่อปลุกใจ
กวนอูปฏิเสธเหล้าจากโจโฉพร้อมกับบอกว่าตัวหัวฮัวหยงเสร็จแล้วค่อยกลับมาดื่ม ว่าแล้วก็ควบม้าออกไป เพียงไม่กี่อึดใจก็หิ้วหัวฮัวหยงเข้ามาในขณะเหล้ายังอุ่นอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความอ่อนด้อยในเชิงบริหารของอ้วนเสี้ยว เนื่องจากเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง เอาแต่ใจตัวเอง ใจแคบ และไร้วิสัยทัศน์ในการตัดสินใจ ซึ่งต่างกับโจโฉที่แสดงออกถึงความใจกว้างและมีวิสัยทัศน์เฉียบขาดอย่างสิ้นเชิง
1. เมื่อครั้งอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำทัพ 18 หัวเมืองเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ ได้มีครั้งหนึ่งที่ต้องรับมือฮัวหยง แม่ทัพของฝ่ายตั๋งโต๊ะ ซึ่งฝ่าย 18 หัวเมืองได้ส่งทหารออกไปดวลเดี่ยวกับฮัวหยงถึง 3 คน แต่ทั้งสามก็ถูกฮัวหยงฆ่าตายทั้งหมด กวนอูซึ่งตอนนั้นอยู่ในเหตุการณ์ได้ลุกขึ้นอาสาออกไปรบกับฮัวหยง อ้วนเสี้ยวจึงถามว่าท่านมียศใด กวนอูซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงหัวหมู่กองเกาทัณฑ์ (สูงกว่าพลทหารแค่ขั้้นเดียว) ก็ได้ตอบไปตามจริง
อ้วนเสี้ยวจึงไม่พอใจและตอบไปว่าสามคนก่อนหน้าเจ้าที่ออกไปรบกับฮัวหยงนั้นต่างมียศไม่พันตรีก็พันโท แต่เจ้ามียศไม่ต่างกับทหารเลวกลับบังอาจมาอาสาออกรบและสั่งให้เอากวนอูไปตัดหัว แต่โจโฉที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้พร้อมกับบอกอ้วนเสี้ยวว่าเขากล้าอาสาแลดงว่ามีดี ถ้าไม่ดีจริงก็ปล่อยให้ฮัวหยงฆ่าทิ้งเสียจะเป็นกระไรไป พร้อมกับไปอุ่นเหล้ามาให้กวนอูเพื่อปลุกใจ
กวนอูปฏิเสธเหล้าจากโจโฉพร้อมกับบอกว่าตัวหัวฮัวหยงเสร็จแล้วค่อยกลับมาดื่ม ว่าแล้วก็ควบม้าออกไป เพียงไม่กี่อึดใจก็หิ้วหัวฮัวหยงเข้ามาในขณะเหล้ายังอุ่นอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความอ่อนด้อยในเชิงบริหารของอ้วนเสี้ยว เนื่องจากเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง เอาแต่ใจตัวเอง ใจแคบ และไร้วิสัยทัศน์ในการตัดสินใจ ซึ่งต่างกับโจโฉที่แสดงออกถึงความใจกว้างและมีวิสัยทัศน์เฉียบขาดอย่างสิ้นเชิง
กวนอูอาสาตัดศีรษะฮัวหยง
กวนอูหิ้วศีรษะฮัวหยง
ลบคำสบประมาทของอ้วนเสี้ยว
2. โจโฉเคยลองถามอ้วนเสี้ยวในขณะที่ทัพ 18 หัวเมืองกำลังเผชิญศึกกับตั๋งโต๊ะอยู่ว่า
"หากการในครั้งนี้ล้มตั๋งโต๊ะลงไม่ได้ ท่านคิดการไว้อย่างไร"
อ้วนเสี้ยวตอบว่าจะกลับไปรวบรวมกำลังทางตอนเหนือ
เมื่อพร้อมแล้วค่อยเคลื่อนผลลงมาจัดการตั๋งโต๊ะอีกรอบ แล้วก็ถามโจโฉกลับว่า
"ถ้าเป็นท่านล่ะ จำทำอย่างไร" โจโฉตอบกลับไปว่า
"กลับไปตั้งหลักรวบรวมไพร่พลที่ไหนก็ได้
แล้วค่อยกลับมาสู้กับตั๋งโต๊ะใหม่"
แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยเชิงวิสัยทัศน์และการวางแผนของอ้วนเสี้ยวอย่างชัดเจน
เพราะถ้าคนที่มีความสามารถจริงอยู่ที่ไหนก็แสดงความสามารถได้
ไม่จำเป็นต้องเลือกสถานที่ หากแต่จะต้องรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์
ไม่ใช่ยึดหลักเพียงหลักเดียว นอกจากแผนหลักแล้ว มีแค่แผนสองคงไม่พอ จะต้องมีแผนสาม
แผนสี่ด้วย
3. เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะสิ้นอำนาจ โจโฉยึดอำนาจทางการทหารของฮ่องเต้ไว้ อ้วนเสี้ยวคิดปราบโจโฉโดยยกทัพมาประจันหน้ากันที่กัวต๋อ กำลังของโจโฉมีเพียงไม่กี่หมื่น ต่างกับกำลังอ้วนเสี้ยวที่มีถึงเจ็ดสิบหมื่น แต่ด้วยความที่กองทัพเจ็ดสิบหมื่นบริหารโดยอ้วนเสี้ยว ที่ไม่รู้พิชัยสงคราม เอาแต่ใจแบบคุณหนู ใจคอคับแคบ ชื่นชมคำสอพลอ โลเลไร้การตัดสินใจ ทำให้กุนซือและทหารฝีมือดีต่างพากันตีจากมาร่วมทัพโจโฉ อีกทั้งขุนพลเอกอย่างงันเหลียงและบุนทิวก็มาโดนตัดหัวโดยกวนอู ทำให้กองทัพอ้วนเสี้ยวเริ่มระส่ำระส่าย แต่อ้วนเสี้ยวยังคงลำพองในกองทัพมหึมาของตนเอง จนสุดท้ายโจโฉกระทำการสำคัญโดยลอบเผาแหล่งเก็บเสบียงสำคัญของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋า ยังผลให้กองทัพอ้วนเสี้ยวโกลาหลอย่างหนักและแตกพ่ายไปในที่สุด เป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ยังผลให้อ้วนเสี้ยวรับสถานการณ์ไม่ได้จนล้มป่วยลงและตรอมใจตายในที่สุด
3. เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะสิ้นอำนาจ โจโฉยึดอำนาจทางการทหารของฮ่องเต้ไว้ อ้วนเสี้ยวคิดปราบโจโฉโดยยกทัพมาประจันหน้ากันที่กัวต๋อ กำลังของโจโฉมีเพียงไม่กี่หมื่น ต่างกับกำลังอ้วนเสี้ยวที่มีถึงเจ็ดสิบหมื่น แต่ด้วยความที่กองทัพเจ็ดสิบหมื่นบริหารโดยอ้วนเสี้ยว ที่ไม่รู้พิชัยสงคราม เอาแต่ใจแบบคุณหนู ใจคอคับแคบ ชื่นชมคำสอพลอ โลเลไร้การตัดสินใจ ทำให้กุนซือและทหารฝีมือดีต่างพากันตีจากมาร่วมทัพโจโฉ อีกทั้งขุนพลเอกอย่างงันเหลียงและบุนทิวก็มาโดนตัดหัวโดยกวนอู ทำให้กองทัพอ้วนเสี้ยวเริ่มระส่ำระส่าย แต่อ้วนเสี้ยวยังคงลำพองในกองทัพมหึมาของตนเอง จนสุดท้ายโจโฉกระทำการสำคัญโดยลอบเผาแหล่งเก็บเสบียงสำคัญของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋า ยังผลให้กองทัพอ้วนเสี้ยวโกลาหลอย่างหนักและแตกพ่ายไปในที่สุด เป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ยังผลให้อ้วนเสี้ยวรับสถานการณ์ไม่ได้จนล้มป่วยลงและตรอมใจตายในที่สุด
แผนที่พื้นที่ศึกกัวต๋อ
(สีแดงคือดินแดนของอ้วยเสี้ยว
สีเขียวคือดินแดนของโจโฉ)
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้มาจากอุปนิสัยของอ้วนเสี้ยวเองทั้งสิ้น ซึ่งกุยแกอดีตที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวที่แปรพักตร์มาอยู่ด้วยโจโฉได้สาธยายจุดด้อย 10 ประการของอ้วนเสี้ยวให้โจโฉได้ฟังก่อนเริ่มยุทธการกัวต๋อไว้ดังนี้
- เน้นพิธีรีตรอง ไร้ประสิทธิภาพการทำงาน
- หัวดื้อ ไม่ปรับตามสถานการณ์
- ไม่มีการรักษาระเบียบวินัยในกองทัพ
- จิตใจคับแคบ แต่ชอบสร้างภาพใจกว้าง
- โลเลไม่ตัดสินใจ
- ชอบคำสอพลอ ไม่ฟังคำทัดทาน
- ขาดวิสัยทัศน์ในการบริหาร
- หลงในชื่อเสียงและคำยุยง
- ไม่แยกแยะชั่วดี
- ใช้งานคนไม่เป็น
กุยแกวิจารณ์โจโฉเทียบกับอ้วนเสี้ยว
ตลอดชีวิตของอ้วนเสี้ยวเสพสุขมาทั้งชีวิต
มองไม่เห็นปัญหาต่างๆ ในองค์กรของตน
ใครมาเล่าปัญหาให้ฟังหรือกล่าวทัดทานในความเห็นของตนก็จะโกรธและสั่งลงโทษ
ทำให้ไม่มีใครอยากจะทำงานด้วย คนที่อยู่ด้วยได้ก็จะมีแต่พวกสอพลอพร้อมมิตรภาพจอมปลอมภายใต้หน้ากาก
ทำให้สังคมของอ้วนเสี้ยวคับแคบ
มองโลกภายนอกไม่ทะลุปุโปร่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการที่อ้วนเสี้ยวไม่สามารถปรับตัวและปรับนโยบายการบริหารตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้
จะเห็นได้ว่าอุปนิสัยของอ้วนเสี้ยวเองที่นำมาความหายนะมาสู่ตน
ซึ่งหากเปรียบในปัจจุบันก็คงเปรียบได้กับการทำงานในสไตล์ลูกคุณหนู
ไม่ยอมรับฟังคำพูดหรือความเห็นของคนอื่น ขาดการวางแผนและวิสัยทัศน์ในการทำงาน
ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพและเป็นตัวสกัดกั้นความก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน
กรณีของอ้วนเสี้ยวนี้มิได้สื่อถึงการทำงานในระดับบริหารเท่านั้น แต่ยังคงสามารถรำมาปรับใช้กับการทำงานในตำแหน่งปฏิบัติการได้อีกด้วย ซึ่งการทำงานภายในองค์กรนั้นเราจะต้องทำงานร่วมกับบุคคลอืนๆ หรือหน่วยงานอื่นๆ การเปิดใจให้กว้างรับฟังความเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการรู้จักยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กร การรู้จักวางแผนงานให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น รวมถึงการรู้จักดูแลและรับฟังผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เพราะก่อนที่เราจะตัดสินใจทำการใดๆนั้น ข้อมุลที่มีอยู่ในมือเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่รับแต่ข้อมูลไม่ยอมตัดสินใจ จนเป็นเหตุให้ความราบรื่นในการทำงานขององค์กรต้องสะดุดและต้องพังลงเหมือนการทำงานในสไตล์ของอ้วนเสี้ยว
กรณีของอ้วนเสี้ยวนี้มิได้สื่อถึงการทำงานในระดับบริหารเท่านั้น แต่ยังคงสามารถรำมาปรับใช้กับการทำงานในตำแหน่งปฏิบัติการได้อีกด้วย ซึ่งการทำงานภายในองค์กรนั้นเราจะต้องทำงานร่วมกับบุคคลอืนๆ หรือหน่วยงานอื่นๆ การเปิดใจให้กว้างรับฟังความเห็นของผู้อื่น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการรู้จักยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กร การรู้จักวางแผนงานให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น รวมถึงการรู้จักดูแลและรับฟังผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เพราะก่อนที่เราจะตัดสินใจทำการใดๆนั้น ข้อมุลที่มีอยู่ในมือเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่รับแต่ข้อมูลไม่ยอมตัดสินใจ จนเป็นเหตุให้ความราบรื่นในการทำงานขององค์กรต้องสะดุดและต้องพังลงเหมือนการทำงานในสไตล์ของอ้วนเสี้ยว
Source : http://samkokforsalaryman.blogspot.my/2015/01/6.html?m=1
No comments:
Post a Comment