Wednesday, 17 February 2016

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ฮัจญีสุหลง กับจังหวัดมุสลิมภาคใต้

ฮัจญีสุหลง

Hajisulung
ปัตตานีมีประวัติศาสตร์ในฐานะแว่นแคว้นเอกราชมายาวนาน และก็มีประวัติศาสตร์แห่งการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจปกครองของไทยมายาวนานเช่นกัน เพื่อสลายการกบฏในปัตตานี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ได้ทรงโปรดให้แบ่งปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมืองย่อยโดยให้แต่ละเมืองมีสุลต่านตามสายตระกูล หรือตวนกู เป็นผู้ปกครองเมืองเหล่านั้นคือ-รามันห์, ระแงะ, ยะลา, หนองจิก, สายบุรี, ยะหริ่ง และปัตตานี บรรพบุรุษของฮัจญีสุหลงเป็นครูสอนศาสนา อันเป็นอาชีพที่มักตกทอดไปสู่ลูกหลานในสกุล อยู่ในเมืองปัตตานี.

หัวเมืองที่ปกครองโดยวงศ์สุลต่านทั้งหมดนี้ได้ถูกกำจัดออกไป เมื่อการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ กับ ๒๐ ได้ค่อยๆ ดึงภาคใต้เข้ามาสู่ระบอบเดียวกันกับที่ใช้ปกครองสยามทั้งประเทศ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๑ (พ.ศ. ๒๔๔๔) เป็นต้นมา


บรรดาหัวเมืองสุลต่านได้ถูกจัดให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช และระบบบรรณาการแบบเก่าก็ถูกแทนที่ด้วยระบบการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เมื่อพวกสุลต่านขัดขืนต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ทางรัฐบาลก็ใช้วิธีบังคับ สุลต่านแห่งปัตตานี-ตวนกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดิน คงแข็งขืนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงต่อไป และเขาก็ถูกคุมขัง-ครั้งแรกที่สงขลา และต่อมาก็ถูกย้ายไปไว้ที่พิษณุโลก ภายใต้การข่มบังคับ และจากการที่ได้รับเงินปี กับอภิสิทธิ์อื่นๆ เป็นการตอบแทน พวกสุลต่านส่วนมากหันมายอมรับระบบมณฑลแบบใหม่นี้ แต่การต่อต้านโดยการดื้อแพ่งในลักษณาการต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งหัวเมืองทั้งเจ็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปัตตานี.

เมื่อสุลต่านแห่งปัตตานีได้รับการปลดปล่อยตัวออกมา ภายหลังจากที่ถูกคุมขังอยู่ ๒ ปี โดยแลกเปลี่ยนกับคำสัญญาว่าจะเลิกเคลื่อนไหวทางการเมือง เขาก็กลับคืนมาสู่ปัตตานีอีกครั้งในฐานะของวีรบุรุษ ไม่นานนักเขาก็หนีไปกลันตัน อันเป็นที่ที่ลูกหลานของเขายังคงดำเนินการต่อต้านต่อไป มีผู้นำทางศาสนาหลายคน รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ได้หลบหนีไปกลันตันเช่นกัน เวลานั้นกลันตันมีที่ปรึกษาอังกฤษดูแลอยู่ตามสนธิสัญญาปี ๑๙๐๒ (พ.ศ. ๒๔๔๕) แล้ว แม้ว่าจะยังคงอยู่ในความควบคุมของสยามอยู่จนถึงปี ๑๙๐๙ (พ.ศ. ๒๔๕๒) อันเป็นปีที่ต้องตกไปเป็นของอังกฤษก็ตาม.

ในปี ๑๙๐๖ (พ.ศ. ๒๔๔๙) บรรดาหัวเมืองที่มีสุลต่านปกครองเหล่านี้ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัด อำเภอ และยกขึ้นเป็นมณฑล อันเป็นการนำหัวเมืองเหล่านี้เข้าอยู่ในแนวเดียวกับเขตอื่นๆ ของประเทศ อย่างน้อยในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ สกุลของฮัจญีสุหลงก็มีฐานะพอที่จะส่งคนในสกุลไปประกอบพิธีฮัจญีที่มักกะฮ์ได้ ซึ่งเมื่อเขาเหล่านั้นกลับมาก็จะมีสิทธิพิเศษเท่าที่ความเป็นฮัจญีจะพึงมีได้ ฮัจญีอับดุลกอเดร์ บิน มุฮำหมัด อัล-ฟะฏอนี มิใช่แต่จะมั่งมีเพียงแค่สามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ได้เท่านั้น หากยังมีทรัพย์สมบัติพอที่จะเลี้ยงดูภรรยาได้ถึง ๓ คน และยังสามารถส่งบุตรชายคนโตเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดได้อีกด้วย บุตรชายคนโตของฮัจญีอับดุลกอเดร์ คือ มุฮำหมัด สุหลง๒นั้น เกิดจากนางซารีเฟาะห์ ภรรยาคนแรก ที่หมู่บ้านลูกสน เมืองปัตตานี ในปี ๑๘๙๕ (พ.ศ. ๒๔๓๘).

ตอนที่สุลต่าน ตวนกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดิน ถูกจับในข้อหากบฏต่อต้านการปกครองระบอบมณฑล และถูกนำไปคุมขังไว้ที่พิษณุโลกนั้น มุฮำหมัด สุหลง มีอายุได้ ๗ ขวบ ขณะนั้นเขากำลังเรียนอยู่ที่ปอเนาะ บ้านกรือเซะ ตำบลบานา ปัตตานี ซึ่งเป็นปอเนาะของโต๊ะครูแวมูซอ ที่โรงเรียนแห่งนี้เขาเรียนภาษามลายู ภาษาอาหรับ และวิชาศาสนาอิสลาม เมื่ออายุได้ ๑๒ ขวบบิดาก็ตัดสินใจส่งเขาไปนครมักกะฮ์เพื่อให้ได้ศึกษาต่อไปอีกในระดับสูง.

การเดินทางจากเอเชียอาคเนย์ไปมักกะฮ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศตวรรษใหม่เป็นเรื่องยากลำบาก และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมิใช่น้อย อย่างไรก็ดี โดยเฉลี่ยแล้ว ปีหนึ่งๆ จะมีผู้เดินทางจากแหลมมลายูประมาณ ๕,๐๐๐ คน ซึ่งส่วนมากจากรัฐที่มั่งคั่งของมลายา (McDonnell 1986 : 76) การเดินทางส่วนมากไปโดยเรือกลไฟอังกฤษ จากปาดัง สิงคโปร์ และอะเจะ การเดินทางทางทะเลใช้เวลาประมาณ ๒๒ วัน

เมื่อไปถึงจะมีการกักด่านอีก ๒ ช่วง ซึ่งเป็นด่านภาษีและตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นจึงเดินทางต่ออีก ๒ วันด้วยอูฐ เพื่อข้ามทะเลทรายไปยังนครมักกะฮ์ การเดินทางดังกล่าวนี้ แม้ว่าจะง่ายกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อ ๒-๓ ทศวรรษก่อนหน้านั้นก็จริง แต่กระนั้นก็ยังเป็นเรื่องแสนเข็ญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเด็กชายอายุเพียง ๑๒ ปี.

ที่มักกะฮ์ นักเรียนหนุ่มๆ ส่วนมากจะพักกันที่วากัฟ (wakaf) อันเป็นอย่างหอพักนักเรียน ซึ่งสร้างขึ้นไว้เป็นการกุศลโดยหนึ่งในบรรดาผู้แสวงบุญที่มีฐานะจากปัตตานี มีอยู่เล็กน้อยที่อาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในชุมชนชวา ฮัจญีสุหลงใช้เวลา ๒๐ ปีที่นครมักกะฮ์ เริ่มต้นด้วยการศึกษาภาษาอาหรับและวิชาศาสนาอิสลาม และประกอบพิธีฮัจญ์

หลักสูตรการศึกษานั้น รวมไปถึงการเดินทางไปยังมัสยิดต่างๆ ในมักกะฮ์ ฟังคำสอนของครูสอนศาสนา ณ ที่นั้นๆ และเล่าเรียนกับผู้ทรงความรู้หรือมีเกียรติคุณที่สุด โดยวิธีเช่นนี้เอง เขาจึงได้เรียนรู้จากบรรดาปราชญ์ฝ่ายศาสนาที่มาจากทุกมุมโลกอิสลาม ที่สุดตัวฮัจญีสุหลงเองก็ค่อยๆ ปรากฏชื่อเสียงเกียรติภูมิในฐานะปราชญ์ขึ้นมาทีละน้อย โดยเฉพาะในชุมชนพวกชวา และเขาก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็นครูสอนผู้อื่นต่อไป.

เมื่อมีอายุได้ ๒๗ ปี, ฮัจญีสุหลงก็สมรสเป็นครั้งแรกกับสะบีเยาะห์ บุตรสาวของครูคนหนึ่งของเขาที่มักกะฮ์. พร้อมๆ กับสถานะความเป็นครู ฐานะทางการเงินที่มั่งมีขึ้นและบ้านหลังหนึ่งสำหรับครอบครัวใหม่ของเขาก็ตามมา ดังนั้นเอง ฮัจญีสุหลงก็อยู่ในฐานะของคนพิเศษคนหนึ่งของมักกะฮ์ และเขากำหนดแผนการว่า จะคงใช้ชีวิตของเขาต่อไปในชุมชนชวาแห่งนี้.

ในช่วงเวลาที่เขายังอยู่ที่มักกะฮ์นั้นเอง ฮัจญีสุหลงก็ได้มีโอกาสพบปะกับคนในชนชั้นปกครองของกลุ่มชาวชวาจำนวนไม่น้อย ซึ่งล้วนมาจากเอเชียอาคเนย์เพื่อการศึกษาหรือเพื่อประกอบพิธีฮัจฮ์ สองปีต่อมา เมื่อภรรยาคนแรกของเขาถึงแก่กรรมลง ฮัจญีสุหลงก็สมรสอีกครั้งกับคอดีเยาะห์ ผู้มาจากตระกูลชนชั้นนำของสังคมดังกล่าวนี้ คอดีเยาะห์เป็นบุตรสาวฮัจญีอิบรอฮิม และเป็นน้องสาวของฮัจญีมุฮำหมัด นอร์ ซึ่งต่อมาจะได้เป็นมุฟติ (Mufti)ของกลันตัน สายสัมพันธ์กับมุสลิมชั้นนำจากมลายาเช่นนี้ จะได้มีส่วนช่วยให้ครอบครัวของเขาดำเนินไปด้วยดีต่อมาอีกหลายปี.

มักกะฮ์ในช่วงเวลาที่ฮัจญีสุหลงกำลังเรียนและกำลังสอนอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นระยะแห่งการบ่มเพาะทางปัญญาและทางการเมือง ตอนที่เขามาถึงนั้น มักกะฮ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิออตโตมัน แต่ผู้นำท้องถิ่นและพวกอังกฤษก็ยังคงมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน หากกล่าวในประเด็นภูมิปัญญาแล้ว ในเวลานั้นมีสองแนวคิดที่ทรงพลังอย่างยิ่งกำลังขยายตัวอยู่ในดินแดนแถบนั้น โดยมีนครมักกะฮ์เป็นศูนย์กลางสำคัญ นั่นคือลัทธิชาตินิยม และลัทธิฟื้นฟูอิสลาม.

ลัทธิชาตินิยมมีอยู่ในสองลักษณะ, กล่าวคือ ลัทธิชาตินิยมในระบอบรัฐธรรมนูญของพวกเติร์ก โดยมีการปฏิวัติของกลุ่มยังเติร์ก (Young Turks) ในปี ๑๙๐๘ (พ.ศ. ๒๔๕๑) เป็นตัวอย่าง-ซึ่งไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนักในนครมักกะฮ์ กับลัทธิรวมชาติอาหรับจากไคโร มักกะฮ์ และดามัสกัส ลัทธิชาตินิยมแบบหลังนี้ พยายามที่จะรวมชุมชนเผ่าอาหรับหลายกลุ่มเข้ามาเป็นประชาชาติอาหรับเพียงหนึ่งเดียว กล่าวคือ ให้เป็นชาติเดียวที่จะสามารถมีบทบาททางสากลได้ ลัทธิชาตินิยมในแบบนี้ มีผู้นำระดับท้องถิ่นแห่งนครมักกะฮ์เป็นผู้นำทางการเมืองที่เด่นที่สุด คือ ชารีฟ ฮุเซน กับไฟซาล ผู้บุตรชาย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพวกนักชาตินิยมแห่งดามัสกัส.

ลัทธิฟื้นฟูอิสลามมีหลายรูปการ; บรรดามุสลิมจากเอเชียอาคเนย์ที่ไปมักกะฮ์เกือบจะทุกคนจะรับนับถือความคิดนี้อยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อกลับคืนบ้านเกิดก็จะมีเรื่องเล่าถึงการปฏิบัติตนของชาวมุสลิมในดินแดนอันเป็นศูนย์กลางแห่งนั้นติดตัวมาด้วย แต่ลัทธิฟื้นฟูอิสลามในทุกๆ รูปการนั้น ล้วนถูกกระตุ้นอีกชั้นหนึ่งด้วยอุดมการณ์วะห์ฮะบี ซึ่งแพร่อยู่ทั่วมักกะฮ์ในเวลานั้น ในขณะที่สำหรับหลายๆ คน ความคิดแบบวะห์ฮะบีเป็นเรื่องสุดโต่งจนเกินไป แต่ความคิดนี้ก็ได้ผู้นำทางการเมืองที่เด่นที่สุดคนหนึ่ง คือ อับดฺ-อัล-อซิส อิบนฺ ซาอุด ซึ่งเริ่มชัยชนะของเขาขึ้นในปี ๑๙๐๒ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ก่อนหน้าที่สุหลงจะไปถึงไม่นานนัก.

นอกจากพลังแห่งอุดมการณ์ทั้งสองนี้แล้ว ความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นระหว่างอำนาจกับแนวคิดในย่านนั้นก็น่าที่จะต้องเป็นที่ตระหนักชัดแจ้งแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในมักกะฮ์ในเวลานั้นด้วย ฮัจญีสุหลงใช้ชีวิตอยู่ที่มักกะฮ์จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้ผ่านพบเล่ห์เพทุบาย ความเป็นพันธมิตร และการทรยศหักหลังจากรอบสารทิศ เขาได้เห็นอังกฤษรุกคืบเข้าหาดินแดนในปกครองของสุลต่านแถบอ่าวเปอร์เซีย โดยอังกฤษได้ติดต่อตกลงกับบรรดาสุลต่านในท้องถิ่นว่า จะรับประกันความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตย และยินยอมให้เงินสนับสนุน โดยแลกเปลี่ยนกับการให้อังกฤษเข้ามามีส่วนกำหนดความสัมพันธ์กับ
ต่างประเทศ และยอมรับที่ปรึกษาจากอังกฤษ

 วิธีการวางระเบียบจัดการแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรมากนักกับที่เพื่อนบ้านทางตอนเหนือของมลายาเคยประสบมาก่อน เขาคงจะได้เคยเห็นพวกอังกฤษ โดยเฉพาะ T.E. Lawrence ผู้ทรงบารมีโน้มน้าวใจคน ได้หนุนกบฏอาหรับของชารีฟ ฮุเซน ขึ้นต่อต้านพวกเติร์ก โดยให้คำมั่นว่า เมื่อสงครามจบสิ้นลงก็จะได้รัฐอาหรับเป็นสิ่งตอบแทน เขาคงจะได้เห็นเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๑

และสงครามย่อยระหว่างเผ่า รวมทั้งสงครามกับพวกต่อต้านลัทธิชาตินิยมอาหรับและลัทธิฟื้นฟูอิสลาม แพร่กระจายไปตลอดดินแดนแถบนั้น เขาคงจะอยู่ในมักกะฮ์ในตอนที่สงครามจบลง และรัฐบาลอังกฤษได้ออกคำแถลงการณ์บัลโฟร์ (Balfour Declaration) กำหนดเขตแดนสำหรับพวกยิวในดินแดนปาเลสไตน์ เขาคงจะได้เห็นการหักหลังที่อังกฤษกระทำต่อพวกนักชาตินิยมอาหรับ และเพิกถอนคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับซารีฟ ฮุเซน โดยการเข้ายึดครองตะวันออกกลาง และแบ่งปันดินแดนกับฝรั่งเศส

ในปี ๑๙๒๗ (พ.ศ. ๒๔๗๐) บุตรชายอายุเพียงขวบเดียวของเขาได้เสียชีวิตลง และเพื่อหลีกลี้จากความโศกเศร้า ฮัจญีสุหลงกับภรรยาก็เดินทางกลับปัตตานี หมายใจว่าจะเยี่ยมเยียนบ้านเกิดสัก ๒ ปี การเดินทางของเขาครั้งนี้จะเป็นการจากนครมักกะฮ์ไปตลอดกาล.

เมื่อฮัจญีสุหลงกลับคืนมาปัตตานีนั้น, จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในนครมักกะฮ์ ทำให้เขามองปัตตานีจากมุมมองที่ต่างออกไป เขาเชื่อว่าอิสลามในไทยได้เสื่อมโทรมลงเสียแล้วด้วยการหลงใหลไปในทางไสยศาสตร์ และอิสลามิกชนทั้งหลายก็เฉื่อยเนือย เขารู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องอยู่ที่นี่ และสั่งสอนศาสนาอิสลามไปตามที่ปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ดังที่เขาได้ร่ำเรียน ได้ปฏิบัติ และได้สอนมาเมื่อครั้งที่อยู่ในมักกะฮ์

ดังนั้นเองในเวลาตลอด ๒ ปี ฮัจญีสุหลงก็ได้ออกตระเวนไปทั่วดินแดนส่วนใต้ของไทย เทศนาหลักธรรมอิสลามตามที่เขาเรียนมาจากมักกะฮ์ ปลุกเร้าให้ใส่ใจในความเชื่อ และเรียกความบริสุทธ์ของหลักธรรมอิสลามในท้องถิ่นให้กลับคืนมา คำสอนของเขาสร้างความไม่พอใจให้กับครูมุสลิม จนถึงขั้นร้องเรียนให้ทางการเข้ามาสอบสวนและควบคุม แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อหาอะไรให้แก่เขา. ความคิดฟื้นฟูอิสลามของฮัจญีสุหลงดังกล่าวนี้ เป็นการผสมผสานเข้ากับความรู้สึกชาตินิยม ดังเราจะได้เห็นชัดเจนขึ้นในบทบาทต่อมาของเขา.

หลังจากที่ได้ตระเวนไปตลอดทั้งมณฑลปัตตานีสองปี เผยแผ่ความคิดฟื้นฟูอิสลาม ฮัจญีสุหลงก็ตกลงใจว่าจะต้องสร้างโรงเรียนขึ้นเป็นก้าวต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีความปรารถนาที่จะสร้างโรงเรียนปอเนาะธรรมดาๆ ที่สอนแต่เฉพาะการศาสนาเพิ่มขึ้นมาอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่เขาต้องการที่จะสร้างโรงเรียนที่จะนำไปสู่มาตรฐานการศึกษาที่สูงขึ้นในอาณาบริเวณนี้ และที่จะนำไปสู่การพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นไป โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนแบบอิสลามโรงเรียนแรกของไทย โดยหนทางเช่นนี้ ฮัจญีสุหลงก็จะได้ผนวกแนวคิดฟื้นฟูอิสลามเข้ากับลัทธิชาตินิยมของเขา โดยผ่านการศึกษาและการพัฒนาที่วางพื้นฐานอยู่บนหลักการแห่งศาสนาอิสลาม.

จากนี้เขาก็ออกรวบรวมเงินสำหรับการสร้างโรงเรียนขึ้นโดยอาศัยการบริจาค อย่างไรก็ดี ขณะนั้นมรสุมทางเศรษฐกิจกำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อไทย และการเงินก็ฝืดเคือง ในระหว่างที่โรงเรียนกำลังค่อยๆ คืบไปสู่ความสำเร็จนั้นเอง สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในปัตตานี และตลอดทั่วทั้งประเทศไทย จากการที่คณะผู้ก่อการฯ ๒๔๗๕ ได้โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชลงไป การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ได้เปิดหนทางสายใหม่แห่งการเข้าสู่อำนาจขึ้น โดยผ่านการเลือกตั้ง ทั้งในระดับการปกครองท้องถิ่น และทั้งในรัฐบาลระดับชาติ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังได้นำมาซึ่งการนำระดับชาติที่จำเป็นจะต้องสมานสายสัมพันธ์กับผู้นำในระดับท้องถิ่นอีกด้วย.

บุคคลแรกที่ช่วงชิงใช้โอกาสใหม่นี้ก็คือฮัจญีสุหลง คณะราษฎร ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ต้องการยกระดับมาตรฐานการศึกษาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจ รัฐบาลก็มีทุนรอนเพียงจำกัดเท่านั้นสำหรับที่จะดำเนินการ

ดังนั้นรัฐบาลจึงสนับสนุนให้เอกชนที่ได้รับการรับรองแล้วสร้างโรงเรียนขึ้น โดยทางรัฐบาลจะให้การรับรองสถานภาพ ในปี ๑๙๓๓ (พ.ศ. ๒๔๗๖) ตัวฮัจญีสุหลงได้ขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อขอร้องเรื่องเงินช่วยสำหรับที่จะสร้างโรงเรียนให้เสร็จสิ้นไป นอกจากนี้เขายังได้เชิญพระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรี ให้ลงไปทำพิธีเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการให้อีกด้วย นายปรีดี พนมยงค์ เอง ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๗๘) ก็ยังได้มาเยี่ยมโรงเรียนด้วย เพราะเหตุนี้เอง สำหรับพวกที่อยู่ในกรุงเทพฯ ฮัจญีสุหลงจึงเป็นที่รู้จักกันในฐานะของผู้นำท้องถิ่นในจังหวัดมุสลิม.

หลังจากที่โรงเรียนได้เปิดดำเนินการขึ้นแล้ว ฮัจญีสุหลงก็เป็นครูใหญ่ และก็ได้สร้างสมอิทธิพลความเชื่อถือขึ้นในหมู่นักเรียน ในหมู่ศิษย์เก่า และในหมู่ผู้ปกครองของบรรดาเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนอิสลามแห่งแรกของไทยแห่งนี้ นอกจากนี้แล้ว ตัวโรงเรียนเองยังได้ถูกใช้เป็นมัสยิดสำหรับผู้ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียง และมีศรัทธาในแนวคิดฟื้นฟูอิสลามของฮัจญีสุหลงอีกด้วย หนึ่งทศวรรษนับแต่นี้ไป ฮัจญีสุหลงจะได้อุทิศเวลาทั้งหมดไปในการเสริมสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมา.

หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงนั้น ฮัจญีสุหลงก็ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในสถานะอันมั่นคงสำหรับที่จะรับบทบาทเป็นผู้นำแล้ว เมื่อรัฐบาลยุคหลังสงครามซึ่งเป็นฝ่ายนายปรีดีมุ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้นำในระดับท้องถิ่นขึ้นมาอีกครั้ง รัฐบาลก็มุ่งหาผู้นำใหม่ๆ นายปรีดียังได้หาหนทางที่จะนำเอาผู้นำมุสลิมเข้ามาอยู่ในโครงสร้างใหม่นี้ด้วย อันจะทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นที่เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น นอกจากจุฬาราชมนตรี อันเป็นผู้นำในระดับชาติแล้ว ก็ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสลามกลาง คณะกรรมการจังหวัด และคณะกรรมการมัสยิดขึ้นมา

ในระดับจังหวัดนั้น บรรดาอิหม่ามในจังหวัดจะเลือกคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยวิธีนี้ รัฐบาลก็จะสามารถกำหนดรู้ได้ว่า ใครคือผู้นำที่เป็นที่ยอมรับกันในชุมชนมุสลิม ขณะเดียวกัน การรับรองของรัฐบาลต่อการนำอย่างไม่เป็นทางการที่มีมานั้น ก็เป็นทั้งการหนุนอำนาจบารมีของผู้นำเหล่านั้นขึ้นมา และเป็นทั้งการมอบการควบคุมดูแลกรรมการมัสยิดและอิหม่ามอย่างเป็นทางการให้กับผู้นำเหล่านั้นด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนอำนาจให้กับพวกเขามากขึ้นไปอีก ที่ปัตตานี ฮัจญีสุหลงได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด.

ในขณะที่รัฐบาลพิบูลสงครามโดดเดี่ยวสี่จังหวัดภาคใต้ออกไปด้วยนโยบายการดูดกลืนด้วยการบีบบังคับ รัฐบาลหลังสงครามโลกของนายปรีดี ซึ่งตระหนักดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และอิทธิพลของลัทธิชาตินิยมมลายูของขบวนการมลายูอิสระ ก็ได้พยายามแสวงหาหนทางดึงสี่จังหวัดกลับมาโดยนโยบายประนีประนอม

คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้รับการเชื้อเชิญให้มากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โรงเรียนปอเนาะได้รับการอนุญาตให้สอนได้โดยไม่ต้องพะวงกับหลักสูตรที่ควบคุมอย่างเข้มงวดตามที่รัฐบาลพิบูลสงครามกำหนดไว้ และมีการฟื้นฟูกฎหมายอิสลามขึ้นมาใช้ใหม่ในเขตสี่จังหวัดภาคใต้ และเพื่อเป็นการสนองตอบต่อข้อร้องทุกข์เรื่องข้าราชการ ในเดือนมีนาคม ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) นายกรัฐมนตรี หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วยข้าราชการ ๔ นาย และจุฬาราชมนตรี ลงไปภาคใต้เพื่อสอบสวนเรื่องราว.๗ การนี้เองได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวเสนอ “คำขอ ๗ ข้อ” ของฮัจญีสุหลงในเวลาถัดมา.

เมื่อผู้นำทางศาสนาในปัตตานีทราบข่าวว่าคณะกรรมการจะลงมาในเร็ววัน, พวกเขาก็ได้จัดการประชุมขึ้นที่สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เพื่ออภิปรายกันว่า มีปัญหาใดบ้างที่จะต้องยกขึ้นมานำเสนอ คนราว ๑๐๐ คนที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ได้ตกลงเลือกฮัจญีสุหลงเป็นตัวแทนยื่นข้อเรียกร้อง ๗ ประการแก่รัฐบาล, คือ :

๑. ๔ จังหวัดนี้จะต้องปกครองเป็นแคว้นเดียวกัน โดยมีผู้นำอิสลามดำรงตำแหน่งผู้นำระดับสูง, มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม, มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้. ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมในเขต ๔ จังหวัดเท่านั้น.

๒. การศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถมปีที่ ๗ ให้มีการศึกษาภาษามลายูโดยตลอด.

๓. ภาษีที่เก็บจาก ๔ จังหวัด จะต้องนำมาใช้จ่ายก็แต่ภายในเขต ๔ จังหวัดเท่านั้น.

๔. ในจำนวนข้าราชการทั้งหมด ขอให้มีข้าราชการเชื้อสายมลายูร้อยละ ๘๕.

๕. ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ.

๖. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม โดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด.

๗. ให้ศาลรับพิจารณาตามกฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด.

ในประเด็นเรื่องการแยกศาลออกมาต่างหากนั้น ได้เกิดการถกเถียงไม่ลงรอยกันขึ้นในหมู่ผู้นำภาคใต้เอง เมื่อถึงวาระที่จะกำหนดตัวผู้พิพากษาอิสลามขึ้นมา โดยการถกเถียงนั้นเกี่ยวพันทั้งเรื่องความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของการแยก และรวมทั้งเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อันได้แก่เรื่องตัวบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษา ที่สุดเรื่องการแยกศาลออกเป็นอิสระก็ถูกยกออก. นอกจากนี้ ตัวแทนที่ฮัจญีสุหลงเสนอก็ยังไม่ได้รับการคัดเลือกอีกด้วย จากตรงนี้เอง ฮัจญีสุหลงก็ตกลงใจฟื้นการต่อสู้ที่ตัวเองปราชัยลงไปแล้วขึ้นมาใหม่อีกคำรบหนึ่ง

สำหรับข้อเรียกร้องประการอื่นๆ นั้น ข้อเรียกร้องประการแรกเป็นข้อที่ยากที่สุด, เพราะนั่นเท่ากับว่า เป็นการยกอำนาจปกครองตนเองให้กับ ๔ จังหวัดมุสลิมภาคใต้ คณะกรรมการได้เรียกตัวฮัจญีสุหลงมาพบ และเปิดการถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างกว้างขวาง แต่คณะกรรมการก็ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจอะไรลงไปได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้รับฟังข้อเรียกร้องในทำนองเดียวกันนี้จากนราธิวาสด้วย ซึ่งเพิ่มข้อเรียกร้อง ขอให้มีการกระจายเสียงทางวิทยุเป็นภาษามลายู กำหนดให้วันศุกร์เป็นวันหยุด และให้รณรงค์ให้คนไทยเลิกใช้คำว่า “แขก” เมื่อพูดถึงคนเชื้อสายมลายู

นอกเหนือไปจากข้อเรียกร้องเหล่านี้แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้แต่แรก คณะกรรมการชุดนี้ยังได้เปิดรับฟังข้อร้องทุกข์อีกมากมายเกี่ยวกับข้าราชการในท้องที่ ถึงชั้นสุดท้ายก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการสอบสวนข้อร้องทุกข์ ๒๐ เรื่อง การประชุมได้มีขึ้น พิจารณาเรื่องร้องทุกข์กล่าวหาข้าราชการ ๑๒ เรื่อง ซึ่งในแต่ละเรื่องนั้นก็ได้ตัดสินว่า เนื่องจากปราศจากหลักฐาน ข้อร้องทุกข์เหล่านั้นให้ยกเสียต่อข้อเรียกร้องทั้ง ๗ ประการนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายรัฐบาลเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง

ด้วยเหตุนี้ ฮัจญีสุหลงจึงเริ่มจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันรัฐบาลให้พิจารณาข้อเรียกร้องให้เร็วขึ้น สุดท้าย มีแต่ข้อที่เรียกร้องให้แยกระบบศาลเพียงประการเดียวที่ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ข้อเรียกร้องอื่นๆ ถ้าไม่ถูกโยนไปที่กระทรวงที่เกี่ยวข้อง (เป็นการปฏิเสธทางอ้อม-กล่าวคือ รับหลักการ แต่พิจารณาเห็นว่าจะเป็นไปได้ก็แต่ในระยะยาวเท่านั้น-เช่นเรื่องการเพิ่มจำนวนข้าราชการเชื้อสายมลายู เป็นต้น)

ใน ๒-๓ กรณีก็อนุโลมตาม โดยมีข้อจำกัด-เช่น การกระจายเสียงข่าวทางวิทยุเป็นภาษามลายู ให้มีการสอนภาษามลายูในโรงเรียนชั้นประถมสัปดาห์ละ ๕ ชั่วโมง ในโรงเรียนที่สามารถจัดหาครูสอนที่มีคุณสมบัติได้ และตกลงรับหลักการเรื่องสถานที่ราชการจะปิดทำการในวันศุกร์ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้สัญญาว่า จะเพิ่มเงินสำหรับการพัฒนา รวมทั้งเงินสำหรับมัสยิดของจังหวัดต่างๆ ด้วย เมื่อใดก็ตามที่สามารถจะหาเงินมาเพิ่มให้ได้.

ความพยายามต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งของฮัจญีสุหลงที่จะบีบให้รัฐบาลแยกระบบศาลให้ได้ แม้กระทั่งหลังจากที่ตัวเขาเองและบุคคลที่เขาเสนอเข้ามาเป็นผู้พิพากษา ได้รับการยอมรับแล้วก็ตาม ทำให้รัฐบาลปักใจเชื่อมั่นว่าฮัจญีสุหลงเป็นคนดื้อรั้นดันทุรัง และจะไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมๆ กันไปนั้นเอง เพื่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อเสนอทั้ง ๗ ประการ

เขาได้พัฒนาโครงสร้างขององค์การเคลื่อนไหว แผนปฏิบัติการ และภารกิจที่กำหนดไว้ ให้รุดหน้าออกไปอีก โดยวางพื้นฐานอยู่บนเป้าหมายสองประการ คือปกป้องกลุ่มชนเชื้อสายมลายู กับสร้างหน่วยปกครองตนเองของจังหวัดมุสลิมที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของไทยขึ้นมา จากนั้นเขาก็เริ่มสร้างกองทุน และออกเดินทางไปทั่วทั้งถิ่นเพื่อพูดตามมัสยิดถึงเรื่องขบวนการเคลื่อนไหว และเป้าหมายของการเคลื่อนไหวของเขา. เขายังพยายามหาการสนับสนุนจากโรงเรียนปอเนาะด้วย.

ในช่วงเวลานี้เอง เพื่อขยายฐานการสนับสนุนให้กว้างขวางออกไป ฮัจญีสุหลงได้ประกาศว่า เขาจะเชิญฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน ทายาทของสุลต่านองค์สุดท้ายของปัตตานี และเป็นผู้นำของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ให้กลับมาและปกครองสี่จังหวัดภาคใต้สืบต่อไป การเคลื่อนไหวเหล่านี้ บรรดาผู้เลื่อมใสติดตามฮัจญีสุหลงไม่ได้ถือว่าเป็นความลับที่จะต้องปกปิดแต่อย่างไร และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้รับคำสั่งให้เฝ้าจับตาดูบุคคลเหล่านี้ เขาก็เลือกทำเพียงติดตามเก็บข้อมูลต่อไปเท่านั้น.

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดียวกันนี้ จากการกระตุ้นด้วยกระแสความรู้สึกทางลัทธิชาตินิยมและการเป็นเอกราชของมลายา ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาเลย์ ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่กลันตัน และนำโดยฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน ก็เพิ่มปฏิบัติการก่อกวนมากขึ้น คดีปล้นสะดมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการปล้นชาวพุทธ บางโรงเรียนถูกเผา และเหตุการณ์รุนแรงทั่วไปก็เพิ่มมากขึ้นในช่วงกลางปี ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ยังมีรายงานอีกด้วยว่า ขบวนการเคลื่อนไหวของฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน พัวพันกับการส่งอาวุธไปสุมาตรา เพื่อใช้ในขบวนการเคลื่อนไหวกู้เอกราชอินโดนีเซีย.

ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ ผู้สื่อข่าวชาวต่างประเทศคนหนึ่ง ซึ่งได้เขียนเรื่องให้กับหนังสือพิมพ์ Strait-Times เกี่ยวกับรัฐสุลต่านแห่งปัตตานี และการที่ถูกผู้ปกครองไทยกดขี่ ก็ได้รับเชิญมา เป็นโชคร้ายของฮัจญีสุหลง เขาเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้สื่อข่าวคนนี้ เมื่อเธอแวะมาประเทศไทย ซึ่งจากเหตุนี้ บางคนจึงมองว่า นี่คือประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาพัวพันกับพวกต่างชาติในการสร้างความวุ่นวายของขบวนการแบ่งแยกดินแดน.

ได้มีการเปิดประชุมขนาดใหญ่ขึ้นที่กลันตัน ผู้เข้าร่วมคือบรรดาผู้นำจากทั้งสองฟากของพรมแดน อภิปรายถกเถียงกันเรื่องการปลดปล่อยปัตตานีเป็นอิสระ โดยที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ฮัจญีสุหลงกำลังโฆษณาเรื่องการปกครองตนเอง และซ้ำยังประกาศอีกด้วยว่า จะเชิญฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน กลับมา ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ข้าราชการบางคนของไทยจะมองว่า การเคลื่อนไหวทั้งสองส่วนนี้เป็นกระบวนการเดียวกัน ระหว่างที่คณะนายทหารที่กระทำรัฐประหารในปี ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) กำลังกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามในช่วงรัฐบาลที่มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเอง ฮัจญีสุหลงกับขบวนการของเขาก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด.

เดือนธันวาคม ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ตัดสินใจย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสลายขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ในการที่จะหาตัวบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ทางรัฐบาลได้หันไปหาผู้ว่าราชการคนเก่าของปัตตานี ซึ่งเคยรับราชการอยู่ในภาคใต้มา ๒๐ ปี ก่อนที่จะถูกย้ายออกไปภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยารัตนภักดี ผู้ว่าราชการที่ได้รับการทาบทามจากรัฐบาลผู้นี้ ได้ออกจากราชการไปหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว และก่อนที่จะยอมกลับมาเป็นผู้ว่าราชการอีก ก็ได้คาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาจากรัฐบาลว่า ถ้าจะให้มาปกครองก็จะต้องให้การสนับสนุนเต็มที่.

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้ ก็มีข่าวออกมาว่า ทางกรุงเทพฯ จะเปิดการเจรจากับฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน และโดยการช่วยเหลือร่วมมือจากวุฒิสมาชิกที่เป็นมุสลิม ก็จะได้เชิญเขามากรุงเทพฯ ฮัจญีสุหลงเดินทางไปกลันตันเพื่อสืบข่าวนี้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ และเมื่อเขาได้รับคำบอกเล่าว่า ข่าวนั้นถูกต้อง เขาก็ให้สัญญาว่า จะร่างคำร้องสนับสนุนการปกครองตนเอง ให้ฮัจญีมะหะหมัด มะไฮยิดดิน ไว้ใช้สำหรับการเจรจาต่อรอง เมื่อเขากลับมาจากกลันตัน ฮัจญีสุหลงก็ได้พบกับผู้ว่าราชการคนใหม่ และเขาก็ได้รายงานไปว่า เขาจะทำเช่นนั้นแน่ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ผู้สนับสนุนเขาออกแจกจ่ายใบปลิวเรียกร้อง คนเหล่านั้นก็ถูกจับ และในวันที่ ๑๖ มกราคม ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) ตำรวจก็เข้าจับกุมตัวฮัจญีสุหลงถึงที่บ้าน ในข้อหาก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดน.

ฮัจญีสุหลงถูกขังที่สงขลา และต่อมาการพิจารณาคดีก็ย้ายไปนครศรีธรรมราชตามข้อเสนอของตำรวจ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม และดำเนินไปเกือบปี ซึ่งในช่วงนี้ผู้ต้องหาต้องถูกควบคุมตัวไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกไป วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ปีถัดมา ฮัจญีสุหลงกับพวกอีก ๓ คน ก็ถูกตัดสินให้ต้องจำคุกเป็นเวลา ๓ ปี เมื่ออัยการอุทธรณ์ เวลาก็เพิ่มขึ้นเป็น ๔ ปีกับ ๘ เดือน. คำอุทธรณ์ของฮัจญีสุหลงเองถูกปฏิเสธ และเขาก็ถูกคุมขังอยู่เกือบเต็มตามเวลานั้น โดยหย่อนไปเพียง ๓ เดือน การที่เขาได้รับการปลดปล่อยตัวก่อนหน้ากำหนด ๓ เดือนนั้น ก็เพราะรัฐบาลหวังว่าจะเป็นการเอาใจบรรดาคนในภาคใต้ที่เชื่อถือในตัวเขา เมื่อฮัจญีสุหลงเดินทางกลับบ้านในเดือนมีนาคม ปี ๑๙๕๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕) นั้น คนพันกว่าคนได้ไปรอรับเขาอยู่แล้วที่สถานีรถไฟ.

แรงสนับสนุนฮัจญีสุหลงที่คงมีอยู่ต่อไปในเขตจังหวัดมุสลิม เป็นปัญหายุ่งยากสำหรับรัฐบาลพิบูลสงคราม บางทีจะเป็นเพราะสามารถจัดการกับผู้นำท้องถิ่นคนสำคัญๆ จากภาคอีสาน รวมทั้ง ๔ อดีตรัฐมนตรีได้อย่างปลอดโปร่ง โดยการตัดสินใจของพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ก็เห็นว่าน่าจะเป็นการดีที่สุดที่ฮัจญีสุหลงจะได้หายตัวไปเสียจากโลกนี้ด้วย.

หลวงอรรถโกวิทวาที นายตำรวจผู้ดำเนินการสืบสวน มีความเห็น ๗ ข้อ ในอันที่จะผ่อนคลายความตึงเครียดในภาคใต้ลงในระยะยาว คือ :

๑. ให้ความนับถือแก่ผู้นำศาสนาระดับท้องถิ่น ในตำบลและหมู่บ้าน มากขึ้นกว่านี้ พยายามดึงคนเหล่านี้ รวมทั้งฝ่ายตรงข้ามกับฮัจญีสุหลงให้มาอยู่ข้างรัฐบาล.
๒. ส่งข้าราชการที่ดีลงไปทำงานในภาคใต้. ตามความเห็นของหลวงอรรถโกวิทวาทีนั้น ความรู้สึกที่ดี จากการที่ข้าราชการที่ดีในอดีตได้สร้างไว้ ยังคงมีอยู่ แต่บรรดาข้าราชการในระยะสิบปีที่ผ่านมา และนโยบายการใช้กำลังบังคับได้ทำลายความรู้สึกที่ดีนี้ลงไปมาก.
๓. ให้การสนับสนุนวัฒนธรรมและศาสนาของชาวไทยมุสลิม แม้ในเรื่องเล็กน้อยก็ตาม.
๔. สร้างมัสยิดขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือปัตตานี ให้เป็นมัสยิดที่ใหญ่กว่ามัสยิดใดๆ ในจังหวัดชายแดนต่อมาเลเซีย เป็นมัสยิดที่จะเป็นเครื่องหมายอันถาวรถึงการสนับสนุนของรัฐบาล.
๕. ควบคุมดูแลมัสยิดและโรงเรียนปอเนาะ. หลวงอรรถโกวิทวาทีกังวลใจเป็นพิเศษว่า รัฐบาลคงจะไม่อาจเข้าไปแก้ความเห็น “ที่ผิดๆ” ได้ เพราะข้าราชการไม่อาจเข้าถึงได้ นอกจากนี้ เขายังให้ความใส่ใจกับการใช้เงินซะกาต อันเป็นเงินที่ชาวมุสลิมบริจาคเพื่อการกุศล.
๖. ตามรอยอาวุธและการสนับสนุนขบวนการปลดปล่อยอินโดนีเซียในเกาะสุมาตรา.
๗. ยุติการบีบบังคับคนเชื้อสายมาเลย์และวัฒนธรรมของเขา

แม้หลวงอรรถโกวิทวาทีเองจะไม่ได้คัดค้านนโยบายการใช้กำลังดูดกลืน แต่เขาก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ในกรณีนี้ มันเป็นการ “เอาหัวชนฝา” ดีๆ นี่เอง มันจะไม่เกิดผลอะไรได้ รังแต่จะนำให้เกิดเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง.

เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจอยู่ไม่น้อยว่า ปัจจุบัน หรือสองชั่วคนต่อมา ข้อความเห็นส่วนมากนี้ก็ยังไม่ไปถึงไหน และยังรอการกระทำให้เกิดผลขึ้นมา สำหรับข้อเรียกร้อง ๗ ประการของฮัจญีสุหลง โครงการระดมข้าราชการมุสลิมเข้ามาอย่างเอาจริงเอาจัง การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิผล และการมีผู้ว่าราชการจังหวัดมุสลิมซีอีโอที่มีความคล่องตัวในการกำหนดวางนโยบายที่เหมาะสมทางวัฒนธรรม ล้วนแต่เป็นไปได้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และภายใต้นโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน.

ในขณะที่ยังไม่อาจไปถึงการให้การปกครองตนเองได้ การทำให้นโยบายเหล่านี้บังเกิดเป็นผลขึ้นมา ก็จะเป็นการมุ่งไปบรรจบกับข้อเรียกร้องของฮัจญีสุหลงได้.
เชิงอรรถ

๑. คำว่า “อัล-ฟะฏอนี” แปลว่า “แห่งปัตตานี” เป็นคำที่ใช้เป็นสามัญในมักกะฮ์, เรียกผู้ที่มาจากปัตตานี.
๒. คำว่า “สุหลง” ตามที่ออกเสียงในภาษาไทยนั้น เพี้ยนมาจากคำว่า “ซูลม” ซึ่งแปลว่า “บุตรชายหัวปี.” อนึ่งคำว่า “สุหลง” ก็มิได้เป็นชื่อ หากเรียกกันติดปากและตัวฮัจญีสุหลงเองก็ยอมรับ.
๓. คำว่า “ชวา” (Jawah) เป็นคำที่คนมักกะฮ์เรียกผู้มาจากชวา, มลายา และคนเชื้อสายมลายูจากภาคใต้ของไทย โดยรวมๆ.
๔. ตรงนี้ไม่ชัดเจนนักว่า บ้านหลังนี้ฮัจญีสุหลงซื้อเอง หรือว่าเป็นสมบัติดั้งเดิมของคนในสกุล
๕. เทียบเคียงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีของไทย
๖. วะห์ฮะบี (Wahhabism) เป็นแนวคิดอิสลามฝ่ายหนึ่งที่ยึดถือและตีความหลักคำสอนอย่างเข้มงวด. ความคิดนี้เริ่มโดยอับดุล วาห์ฮับ (Abdul Wahhab, 1703-1792).
๗. คณะกรรมการชุดนี้เรียกว่า “กรรมการสอดส่องภาวการณ์ใน ๔ จังหวัดภาคใต้” มีคณะกรรมการประกอบด้วย นายอุดม บุณยประกอบ ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทยภาค ๕ เป็นประธาน, พระอดุลยการณ์โกวิท ข้าหลวงยุติธรรมภาค ๕, นายละม้าย จุลสมัย ข้าหลวงตรวจการกระทรวงศึกษาธิการภาค ๕, นายสง่า สุขะบุตร ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และนายแช่ม พรหมยงค์ จุฬาราชมนตรี
๘. ข้อนี้ปรากฏชัดแจ้งในคำตอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีความเห็นว่า โครงสร้างการบริหารอย่างที่เป็นอยู่นั้นดีอยู่แล้ว, การสร้างมณฑลขึ้นมาใหม่นั้นก็เท่ากับว่าเป็นการแยกการปกครอง, (อ้างใน เฉลิมเกียรติ, ๒๕๔๒, หน้า ๗๐)

ในปี ๑๙๕๔ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ฮัจญีสุหลงก็หายไป เชื่อกันว่าอัศวินของนายพลเผ่าได้ผนึกร่างของเขาลงในถัง แล้วถ่วงน้ำที่ทะเลสาบสงขลา หรือไม่ก็ในทะเลใกล้ๆ สงขลา ที่ใดที่หนึ่ง แต่นี่ก็หาได้ทำให้ความปรารถนาที่จะปกครองตนเองดับสลายไปไม่ หากกลับเป็นการสร้างวีรชนผู้พลีชีพเพื่ออุดมการณ์ขึ้นมาคนหนึ่งเป็นการแทนที่.

ไม่เป็นเรื่องยากอะไรที่จะดึงบทเรียนจากประวัติเรื่องราวของฮัจญีสุหลง. คำรายงานการสืบสวนของตำรวจที่ส่งไปถึงคณะรัฐมนตรีก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมตัวฮัจญีสุหลงนั้น น่าจะถูกเขียนขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง แทนที่จะเขียนเมื่อห้าทศวรรษครึ่งมาแล้ว.



Source : https://bebaspatani.wordpress.com

4 comments:

  1. ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรที่จะดึงบทเรียนจากประวัติเรื่องราวของในประเทศที่ผิดมาเป็นบทเรียน เเลัวนำมาใช้ โดยตรงเเลัว คนไมยยะจริงๆๆคือคนไทยที่เขาใช้ปกครองเเผ่นดินไทยเเบบนี้มาตลอดเเต่ว่า ไม่มีคนเเค่คนสุริยะ ถึงเข้าใจ.

    ReplyDelete
  2. การสร้างมณฑลขึ้นมาใหม่นั้นก็เท่ากับว่าเป็นการแยกการปกครอง,ใช้เเบบในสมัยเก่าไม่ได้เเลัว อดหมดเลย.

    ReplyDelete
  3. อันเม กลับประเทศที่อัน อังฤ มา อันเมรอข่าว อันพ่อ๓ ได้ว่าอันเมว่า ทำไมลูกไม่สนใจพ่อ อันเมไม่รู้ ว่าพ่อเป็นหว่ง.

    ReplyDelete
  4. ปีนี้ไม่ได้กลับบ้านเเน่ๆๆปีหน้า 9/11 เเน่ๆๆ ได้งานทำกลับไม่ได้.

    ReplyDelete