เล่าปี่
(ที่มา : http://threekingdoms.wikia.com)
|
.
เล่าปี่ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับกวนอูและเตียวหุย โดยเล่าปี่เป็นพี่ใหญ่ กวนอูเป็นน้องรอง ส่วนเตียวหุยเป็นน้องเล็ก ตัวเล่าปี่เองมีภรรยาสองคน คือนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยิน ที่ปรึกษาส่วนตัวในช่วงเริ่มตั้งตัวของเล่าปี่ประกอบด้วยซุนเขียน บิต๊ก (พี่ชายของนางบิฮูหยิน) และกันหยง โดยทั้งหมดล้วนเป็นคนใกล้ชิดและเครือญาติของเล่าปี่เองทั้งสิ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่ากิจการของเล่าปี่นั้นเป็นธุริกิจแบบครอบครัว 100% มีน้องชายสองคนเป็นคนช่วยบริหาร มีพี่ชายของภรรยาและญาติเป็นคนช่วยดูแลจัดการกองทัพ ซึ่งตัวเล่าปี่เองก็เชื่อมั่นในฝีมือเครือญาติเหล่านี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งตัวตอนอายุ 24 ปี จนอายุ 48 ปีก็ยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าเท่าใดนัก มีเมืองครองบ้าง แต่บางครั้งก็แทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มีบ้าง อดบ้าง ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดยี่สิบกว่าปี จนกระทั่งได้มาพบกับสุมาเต๊กโชที่ได้ชี้ทางสว่างในเชิงนโยบายให้กิจการของเล่าปี่ โดยทำให้เล่าปี่รู้ว่าทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่นั้นยังไม่มีความสามารถพอ
จำเป็นต้องหาคนที่มาคอยกำหนดนโยนายและช่วยจัดการกิจการต่างๆ เพื่อทำให้องค์กรเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จนได้มาพบกับขงเบ้งเล่าปี่จึงได้รู้ถึงจุดอ่อน-จุดแข็งของตนที่ไม่เคยรู้ตัวเลยมาตลอดยี่สิบกว่าปี จากกิจการระบบครอบครัว ก็เปลี่ยนมาเป็นการบริหารแบบสากลมากขึ้น มีขงเบ้งเป็น CEO (Chief Executive Ofiicer) มีการหาคนมีความรู้ทั้งในด้านบุ๋นและบู๊เข้ามาในกองทัพเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนองค์กร เช่น บังทอง ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก ขับเจ้ง อุยเอี๋ยน เงียมหงัน ฮองตง ม้าเฉียวเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น จนเล่าปี่เองสามารถตั้งตนเป็นเจ้าครองดินแดนเสฉวนได้สำเร็จเมื่ออายุ 60 ปี
สุมาเต๊กโชชี้หนทางในการเป็นใหญ่ให้เล่าปี่
.
ตลอดชีวิตของเล่าปี่ พ่ายศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ตกอับจนไม่รู้จะตกไปไหนได้อีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ด้วยความเป็นจอมคนของเล่าปี่ ทำให้เขาสามารถครองใจผู้มีฝีมือความสามารถไว้กับเขาได้ ไม่ว่าจะเป็น ขงเบ้ง บังทอง กวนอู เตียวหุย จูล่ง ฮองตง ม้าเฉียว ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้ถึงแม้จะมีโอกาสทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่พวกเขาก็ยังจงรักภักดีต่อเล่าปี่ ทั้งยังช่วยส่งเสริมจนกระทั่งเล่าปี่สามารถสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากความสามารถในการครองใจคนของเล่าปี่เองที่สามารถจำแนกออกได้เป็นดังนี้
.
การเป็นคนมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน จะเห็นได้จากการที่เล่าปี่เป็นคนที่ให้เกียรติต่อผู้อื่น ถึงแม้ว่าเล่าปี่เองจะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่ก็ไม่เคยถือตัว ซึ่งการรู้จักให้เกียรติผู้อื่นนี้เองทำให้คนดีมีฝีมืออยากจะทำงานร่วมกับเขา ถึงแม้ว่าตัวเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนให้ก็ตาม ถ้าเปรียบกับมนูษย์เงินเดือนอย่างเราก็เหมือนการให้เกียรติกับเพื่อนร่วมงาน รู้จักรับฟังผู้อื่น ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะตำแหน่งเล็กกว่าเราก็ตาม ก็ควรที่จะเคารพในการทำงานของเขาตามที่เห็นสมควร ดังที่สามก๊กฉบับวณิพกของ "ยาขอบ" ได้ให้คำจำกัดความกับเล่าปี่ว่า "ผู้พนมมือให้กับชนทุกชั้น"
การรู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก เล่าปี่เป็นคนที่เก็บอารมณ์และความรู้สึกได้ดีเยี่ยม ตลอดจนการรู้จักพูดให้เข้ากับสถานการณ์ ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเมื่อครั้งที่เล่าปี่ฝากเมืองซีจิ๋วไว้กับเตียวหุย เพื่อที่ตนและกวนอูจะได้ไปทำธุระที่เมืองอื่น ซึ่งเมืองซีจิ๋วก็เป็นเมืองเดียวที่เล่าปี่ได้ครอบครองเมื่อครั้งตั้งตัวใหม่ เรียกได้ว่าเป็นฐานที่มั่นเดียวในสมัยนั้น แต่เตียวหุยกับดื่มสุราจนเมาและละเลยการดูแลเมือง จนถูกลิโป้เข้าตีกลางดึก เสียเมืองให้กับลิโป้ไป อีกทั้งภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ก็ติดอยู่ในเมือง ถูกลิโป้จับไว้ เตียวหุยต้องหนีตายไปคนเดียวเพื่อพบเล่าปี่และสารภาพผิดจนถึงขั้นชักกระบี่ออกมาจะฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด เล่าปี่เองก็ควบคุมอารมณ์ได้ดีและบอกกับเตียวหุยไปว่า "ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า ขาดแล้วหาใหม่ได้ พี่น้องเหมือนแขนขา ขาดแล้วหาใหม่ไม่ได้" ซึ่งก็หมายความถึงเล่าปี่ปลอบใจเตียวหุยที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ โดยเล่าปี่ไม่ได้แสดงถึงอาการโกรธเตียวหุยเลย ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นอาจจะโกรธเตียวหุยถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องเลยก็ได้ เพราะเตียวหุยเป็นคนทำสมบัติชิ้นเดียวที่มีอยู่ในตอนนั้นเสียไป และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียเมืองซีจิ๋วไปแล้วจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แสดงให้เห็นถึงการรู้จักควบคุมอารมณ์และการรู้จักพูด ทำให้สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายไม่หนักขึ้นไปกว่าเดิมและสามารถผ่อนคลายลงได้ การทำงานในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราต้องเจอกับความผิดพลาดหรือการกระทำของผู้อื่นจนทำให้เราเสียหาย การรู้จักควบคุมอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ บางครั้งเราอาจจะโกรธหรือไม่พอใจมาก แต่การแสดงอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจออกไปโดยตรงนั้นไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะทำให้สถานการณ์ซ้ำร้ายไปกว่าเดิมแล้ว ยังไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงได้ จึงควรรู้จักจัดการกับอารมณ์ ค่อยๆคิดหาทางในการคลี่คลายปัญหาโดยรู้จักประณีประนอม การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งจะทำให้ทุกอยากเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เล่าปี่เสียเมืองซีจิ๋วให้ลิโป้ เพราะให้เตียวหุยดูแลแทน
.
การถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ถ้าสังเกตการตัดสินใจของเล่าปี่ในแต่ละครั้งจะพบว่า เขาถือเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมประกอบด้วยเสมอ เช่น ตอนที่ชีซีจะลองใจเล่าปี่เรื่องม้าของเล่าปี่ที่ชื่อ "เต๊กเลา" ว่าม้าตัวนี้ถึงแม้รูปงาม แต่เป็นกาลกิณีจะนำภัยมาให้ สามารถแก้ได้โดยยกม้าให้ผู้อื่นแล้วรอให้ม้าตัวนี้นำภัยมาให้ผู้นั้นก่อน จึงจะสามารถนำม้าตัวนี้มาใช้อย่างไร้อาเพสใดๆ เล่าปี่ได้ฟังชีซีแล้วก็ตวาดกลับว่า จะให้เราทำเช่นนั้นคงไม่ได้ การทำเช่นนั้นเท่ากับฆ่าผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่วิสัยของเรา ชีซีได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเล่าปี่เป็นผู้มีคุณธรรมจริง เหมาะที่จะฝากชีวิตไว้ด้วย และคุกเข่าขอรับใช้เล่าปี่ทันที หรือในกรณีที่เล่าเปียวป่วยใกล้ตายและตัดสินใจยกเมืองเกงจิ๋วให้เล่าปี่ทั้งที่เล่าเปียวก็ตั้งทายาทไว้สืบทอดไว้แล้วคือลูกชายของตน แต่เล่าเปียวมองว่าลูกชายตนไร้ความสามารถ จึงตัดสินใจมอบให้เล่าปี่แทน จุดนี้ขงเบ้งก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่เล่าปี่กลับปฏิเสธและให้เหตุผลว่า ถ้ารับเอาเกงจิ๋วมาไว้ ก็จะโดนครหาว่าไปชุบมือเปิบ ทั้งที่มีการแต่งตั้งผู้สืบทอดไว้่แล้ว ทำให้ทั้งลูกน้อง คนรอบข้างและคนภายนอกให้ความเคารพในตัวเล่าปี่และยกย่องในเรื่องคุณธรรม แต่ถ้ามองกันจริงๆ แล้วเล่าปี่เองคงไม่กล้ารับไว้เนื่องจากกลัวขั้วอำนาจเก่าของเล่าเปียวจะปองร้าย เพราะการรับเมืองแบบชุบมือเปิบแบบนี้ ขั้วอำนาจเดิมของเล่าเปียวที่มีอยู่หลายคนย่อมไม่พอใจ และอาจวางแผนสังหารเล่าปี่ในที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีวิสัยทัศน์ในเชิงการเมืองและการจัดการภายในองค์กรของเล่าปี่ได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันการแก่งแย่งแข่งขันนั้นมีทุกองค์กร ทั้งการแช่งขันภายในและการแข่งขันกับภายนอก ซึ่งก็เป็นเรื่องดีในการผลักดันให้บุคลากรแสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่ แต่การแข่งขันไม่ใช่การมุ่งเอาชนะแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่จะต้องแข่งขันกันบนพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม อันจะทำให้เกิดความโปร่งใสขึ้นกับองค์กรและทำให้การทำงานกับผู้อื่นเป็นไปด้วยความราบรื่นและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ชีซีทดสอบคุณธรรมเล่าปี่
.
การรู้จักมองคน เล่าปี่เองมองคนได้อย่างทะลุปุโปร่ง ตั้งแต่การร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับกวนอูและเตียวหุย เพราะมองว่าสองคนนี้ถึงแม้คนนึงจะดูหยิ่งยโสยอมหักไม่ยอมงอ (กวนอู) และอีกคนก็มุทะลุดุดัน (เตียวหุย) แต่ทั้งสองก็เป็นคนที่สัตย์ซื่อและมีฝีมือที่จะช่วยส่งเสริมให้การใหญ่ของเล่าปี่สำเร็จ หรือการมอง "ม้าเจ๊ก" ที่ทุกคน รวมทั้งขงเบ้งมองว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่เล่าปี่กลับมองอย่างทะลุและเตือนขงเบ้งว่า ม้าเจ๊กผู้นี้ปากรู้มากกว่าใจ ทำการใหญ่อย่าใช้ม้าเจ๊ก แต่ขงเบ้งกลับไม่ค่อยเชื่อ สุดท้ายม้าเจ๊กผู้นี้กลับทำให้ขงเบ้งต้องมาเสียใจภายหลัง โดยไม่ยอมฟังคำสั่งขงเบ้งก่อนออกศึก และมั่นใจในความรู้ของตนเองเกินไป จนทำให้เสียเมืองด่านสำคัญ (เกเต๋ง) ทำให้ขงเบ้งต้องประหารม้าเจ๊กทั้งน้ำตา จะเห็นได้ว่าการรู้จักมองคน รู้จักศึกษาอุปนิสัยผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะชีวิตการทำงานของเรา ต้องติดต่อกับเพื่อนร่วมงานและคนภายนอกมากมาย เราต้องรู้จักพิจารณาคนที่อยู่รอบข้างเรา ว่าเขาเป็นคนเช่นไร สิ่งใดที่ควรปฏิบัติต่อเขา สิ่งใดไม่ควร เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ร้อยพ่อพันแม่ ถ้าเรารู้จักว่าคนเช่นนี้ควรปฏิบัติกับเขาเช่นไร เราก็จะสามารถเปิดใจยอมรับเขา และเขาก็ยอมรับเราทำให้ชีวิตการทำงานของเราราบรื่นไปด้วย
.

พระเจ้าเล่าปี่สั่งเสียงานใหญ่ให้กับขงเบ้งก่อนสิ้นใจ
.
จะเห็นได้ว่าวิถีจอมคนของเล่าปี่ ล้วนเกิดจากการที่รู้จักพิจารณา รู้จักปฏิบัติ และรู้จักให้เกียรติคนรอบข้าง โดยยืนอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในสิทธิของผู้อื่น รวมถึงการรู้จักวางตัวและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยยึดจริยธรรมเป็นที่ตั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อื่นเคารพในตัวเราและจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ วิถีการดำเนินชีวิตของเล่าปี่นั้นอ้างอิงบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมและจริยธรรมทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของผู้ทำงานตั้งแต่ตำแหน่งลูกจ้างตลอดจนเจ้าของกิจการจะ "ต้องมี" หากเราสามารถดำเนินงานของเราให้ได้ตามหลักจริยธรรมดังเช่นเล่าปี่แล้ว อาจสามารถพลิกชีวิตของเราเป็นอีกด้านหนึ่งเลยก็เป็นได้ ดั่งเช่นเล่าปี่ที่แต่เดิมทอเสื่อขาย แต่กลับยกตนเองเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นได้ก็เพราะการรู้จักวางตัวบนพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม.
source : http://samkokforsalaryman.blogspot.my
No comments:
Post a Comment