Sunday, 21 February 2016

๓๖ กลยุทธ์ : กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย

ส่วนที่ ๑
กลยุทธชนะศึก

เมื่อเมื่อยามเราเป็นฝ่ายเหนือกว่า
ก่อนอื่นจะต้องสยบข้าศึกลงไป
ใช้การรุกรบอย่างเป็นฝ่ายกระทำ
ทำสงครามด้วยรูปการที่เป็นผลดีที่สุด 


กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย

จักให้ศัตรูลำบาก มิรบด้วย แกร่งเสียอ่อนได้

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบากไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วิธี “ แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่กล่าวไว้ใน “ คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เพื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้”


ความหมายของ “ แกร่งเสีย” ก็คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนักดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โต เหลือประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย “ อ่อนได้” ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำการป้องกันถูกตีกระหน่ำดูแล้วเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม


รอโอกาสทำลายข้าศึก แปลงการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น “ ซุน วู ว่าด้วยการศึก” “ ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม” “ ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “ บันทึกจ่อจ้วน” “ บันทึกประวัติศาสตร์” “ จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน “ ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า “ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย”

กลยุทธ์นี้จาก “ ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่าด้วยการศึก” ความเดิมมีว่า “ ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล” 


ตัวอย่างเรื่องราวประกอบกลยุทธ์มีดังนี้ 

จากเอกสารประกอบการฝึกแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ระหว่าง ๘ พ.ค.๔๓ - ๑๔ ก.ค.๔๓ มีข้อความเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของไทยอันเป็นผลสืบเนื่องจากการล่าอาณานิคมยุคใหม่โดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งนำมาสู่การเข้ายึดครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จในทุกมิติของพลังอำนาจแห่งชาติ ดังมีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวดังต่อไปนี้


เอกสารประกอบการฝึก การแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือนหลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ๘ พ.ค.๔๓ ถึง ๑๔ ก.ค.๔๓ แผนปฏิบัติการล่าอาณานิคมแบบใหม่ที่คนไทยต้องรู้ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ

“……วันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว …… ”

“จากหัวใจถึงชาวไทย”

ข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้เสนอให้กับหน่วยงานรักษาความมั่นคงระดับสูง อันจัดเป็นมันสมองของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ วางแผน และป้องกันประเทศให้รอดพ้นภยันตราย จากประเทศมหาอำนาจ โดยรวบรวมจากข้อมูล พยานหลักฐานทางราชการ ทั้งโดยทางลับ และสาธารณะ จากสื่อสารมวลชน ทั้งภายในและต่างประเทศที่พิสูจน์ได้และเป็นจริง 

แต่คงจะเป็นเวรกรรมของประเทศ เนื่องจากว่าประเทศไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยนักวิชาการ ผู้มีความรู้ และผู้อวดสู่รู้มากมาย ซึ่งไร้ประสบการณ์ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เคยหรือทำหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทางด้านการเงินของประเทศมหาอำนาจมาก่อน ดังนั้น เมื่อบทความดังกล่าวนี้ข้อมูลได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณา ผลปรากฏว่าได้รับการต่อต้านจากนักวิชาการ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันผลจึงปรากฏอย่างที่คุณเห็นอยู่เช่นในปัจจุบันนี้


ข้อมูลของผมดังกล่าวนี้ จะทำให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานและความเป็นมา ต้นเหตุของปัญหาที่ต้องเป็น และจะเป็นไปในอนาคต โปรดทำใจให้ว่าง พิจารณาบนหลักฐานและความเป็นจริงจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ถึงรากเหง้าแห่งปัญหา อันเป็นที่มาของคำตอบว่า เหตุใดสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของความเป็นชาติ และเป็นฐานแห่งสังคมไทยเป็น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามบอกถึงความมีเอกลักษณ์ของชนชาติไทย 

จึงต้องถูกทำลาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศ รวมไปถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ระบบ ระเบียบ กฎหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนี้คือสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รับคำตอบที่เคยสงสัย และคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อาจพบหนทางช่วยประเทศไทย อันเป็นที่รักของเราให้พ้นจากมหันตภัยที่เกิดขึ้น ได้ในอนาคตอันใกล้นี้


ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Force 21)

นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ จวบจนปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจของไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤตตกต่ำสุดขีดเสียยิ่งกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเราท่านไม่อาจจะคาดคำนวณกันได้ว่าผลสรุปและจุดจบของสภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองไปถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า มาจากสภาพเศรษฐกิจของโลกบ้าง การตัดสินใจผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะกล่าวอ้างกันขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ใด ที่จะบอกกล่าวเล่าเตือนถึงมหันตภัยทางเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยล่วงหน้าถูกต้องได้เลยแม้แต่คนเดียว 


วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะเรียกว่าข้ามคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะใช้หลักวิชาการ มาเป็นตัววิเคราะห์วิจัยก็ไม่สามารถแก้ไขได้แม้แต่น้อย ยิ่งแก้ไขยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทย ก็ยังคาดคำนวณสถานภาพเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าผิดพลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ 


ฉะนั้นอย่าพูดถึงนักการเมือง นักบริหาร หรือนักวิชาการในประเทศไทยเลย ที่จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ล่วงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ที่ภาวะวิกฤตนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซียกำลังอยู่ในภาวะเจริญเกือบสุดขีด จนประเทศเพื่อนบ้านของเรายึดถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 


เงินกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยมิได้ไหลเข้ามาเพราะคนต่างชาติโง่ หรือคนไทยหลอกลวงเก่ง เพราะการกู้ยืมโดยสถาบันการเงินก็ดี หรือโดยนักธุรกิจอิสระก็ดี เจ้าหนี้ผู้ให้ยืมเงิน หรือร่วมลงทุนเหล่านั้นล้วนเป็นชาวต่างประเทศ ที่มาจากสารพัดชนชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยล้วนแล้วแต่ มีผู้ชำนาญทางการเงิน ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถึงอนาคตการลงทุน และแนวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าจะรุ่งเรืองที่สุด ในย่านภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จึงปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนลงทุนในประเทศไทย 


ดังนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยใด ที่พอน่าเชื่อได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักลงทุนที่ปล่อยเงินกู้เหล่านั้นนัดกันไอคิวตกทั้งโลก หากเช่นนั้นสาเหตุหรือมูลฐานปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้ประเทศไทยตกเหววิกฤตแห่งเศรษฐกิจเพียงชั่วข้ามคืน นี่แหละคือคำถาม และบทวิเคราะห์ต่อไปนี้อาจจะเป็นแนวทางที่ ชี้ถึงสาเหตุแห่งธนภัยและวิกฤต ซึ่งจะช่วยในการหาวิธีแก้ไขได้ถูกทางยิ่งขึ้น


ในปลายปี ๒๕๑๗ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ได้มีการทบทวนบทบาทของการพ่ายแพ้ในการรบในสงครามเวียตนาม พบว่าชัยชนะไม่อาจได้มาด้วยการใช้กำลังอาวุธหรือกำลังพลที่เหนือกว่าตามที่เชื่อกันมาในอดีต ดังนั้นจึงได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้น เพื่อวิเคราะห์ถึงยุทธวิธีสำหรับการรบในศตวรรษที่ ๒๑ (Force 21) ว่าควรเป็นไปในรูปใด 

จึงจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จถาวร มีการสูญเสียน้อยที่สุด เอื้อผลประโยชน์ให้มากที่สุด และใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นที่สุด การวิเคราะห์ทดสอบของหน่วยงานนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ๒๕๓๓ ได้ผลสรุปว่าการยึดอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นจะให้ชัยชนะและผลประโยชน์อย่างถาวร อันเป็นแผนปฏิบัติการที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีสมการของยุทธวิธีคือ E = MOC 2


E (Economic) เศรษฐกิจ 
M (Mental) สร้างความเชื่อใหม่, สลายศรัทธาเดิม 
O ( Organization) สร้างกระแส, ทำลายระบบการเมือง 
C (Cash Value) ทำลายค่าของเงิน 
C (Cash Control) ควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่หน่วยงานดังกล่าวต้องใช้สมการนี้เป็นหัวใจของยุทธวิธี ก็เนื่องจากได้วิจัยพบว่า เหล่านักวิชาการ หรือนักเศรษฐศาสตร์ อันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ล้วนร่ำเรียนตามหลักวิชาที่มีรากฐานทางเดียวกันทั้งสิ้น ทั้งการสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา ฉะนั้นหากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจปกติสามัญแล้ว ก็จะไม่พ้นปัญญาของผู้รู้เหล่านั้นที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก 

ดังนั้นสมการนี้ จึงถูกพัฒนาให้มีความผกผันในตัวของมันเองไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพื้นฐานทางวิชาการเท่านั้น สมการนี้ยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้การแก้ปัญหาในทุก ๆ ครั้ง ผิดแนวทางไร้ประโยชน์ และการแก้ไขนั้นจะกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมการนี้บรรลุเป้าหมายเร็วยิ่งขึ้นไปอีกโดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสมการนี้เสียด้วยซ้ำ


ตอนนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยใดทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะได้มีการวางแผนงานไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ ของท่านผู้อ่านที่จะวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญาตามหลักวิชาการของแต่ละท่านโดยอิสระ 

หน่วยงานนี้ได้ค้นพบว่า สมการนี้จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อสามารถหาพื้นที่ อันเป็นฐานที่มั่นถาวรในการปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่เรียกว่า ยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ อันประกอบไปด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์และเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ครบ ๕ ประการ (Give Me 5) คือ


๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคมทั้งทางยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์
หรือเชื่อมต่อกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย

๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งทางทหารและ
ทางพาณิชย์(พาณิชย์นาวี) ได้ครอบคลุมภูมิภาค

๓. ทางอากาศ มีความพร้อมในการขยายศักยภาพทางอากาศทั้งทางทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค

๔. มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิตด้านเกษตรได้โดยง่าย และมีพื้นที่ติดกับประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือน กระจกทำให้ผลผลิตสินค้า ด้านบริโภคจะมีความต้องการสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในอนาคตของตลาดโลก)

๕. ผูกค่าสกุลเงินตราของประเทศไว้กับเงินสกุลดอลล่าห์ ด้วยปัจจัยหลักดังกล่าวนี้ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีครบทุกประการ ฉะนั้นประเทศไทยอาจถูกเลือกให้เป็นยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ในการดำเนินยุทธวิธีแต่ทั้งนี้การดำเนินยุทธวิธีของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะต้องขึ้นอยู่กับดัชนีแห่งเวลา(Time Table) เป็นตัวชี้นำว่า เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีนี้ หากดัชนีแห่งเวลาไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นยุทธวิธีจึงถูกแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน โดยมีดัชนีเวลาเป็นตัวกำหนดอัตราเร่งและปฏิบัติการที่ตายตัว

ขั้นตอนที่ ๑ เริ่มในปี ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๓๙ ใช้ยุทธวิธีตัว M(Mental)สร้างค่านิยมใหม่ สลายศรัทธาเดิมประสานกับ O (Organization) สร้างกระแส ประสานเสริมศักยภาพให้กับ M

ขั้นตอนที่ ๒ เริ่มในปี ๒๕๔๐ ใช้ยุทธวิธีของ C(Cash Value)อันเป็นC ตัวที่หนึ่ง เป็นตัวนำโดยการทำลายค่าของเงินให้ต่ำลงเพื่อบีบให้เข้าสู่ ขั้นตอนที่ ๓ โดยใช้อัตราเร่งรวมจากผลคูณของ M และ O

ขั้นตอนที่ ๓ เริ่มในปี ๒๕๔๑ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ยุทธวิธีของ C ตัวที่สองซึ่งจะมีอัตราเร่งสูงสุดจากผลคูณของมวลรวมของ ๑ และ ๒ โดยมีเป้าประสงค์อยู่ที่การเข้าควบคุมระบบการเงินทั้งหมดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จถาวรโดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย หรือวิธีการอื่นใด

เมื่อภาระกิจสามขั้นตอนดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นลงตามดัชนีเวลา (Time Table) นั่นก็หมายความว่ายุทธวิธีทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ บรรลุเป้าประสงค์ สามารถยึดฐานที่มั่นอันถาวรเพื่อปฏิบัติการต่อเนื่องต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศอันอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมถึงขั้นเกือบ ๑๐๐% ที่ได้เตรียมการไว้อย่างเป็นรูปธรรมในการต้อนรับ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวฮ่องกง ที่มีความตั้งใจจะย้ายฐานการดำเนินการดำเนินธุรกิจจากเกาะฮ่องกงเข้าสู่ประเทศไทย ภายหลังฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน มีการก่อสร้างที่พักอาศัย และอาคารพาณิชย์ไว้รองรับอย่างพรักพร้อมจึงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์กันมากเป็นประวัติการณ์ สถาบันการเงินทุกแห่งต่างปล่อยสินเชื่อ ในด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ด้วยปัจจัยนี้เป็นหลัก 


ซึ่งหากปล่อยให้นักธุรกิจฮ่องกงย้ายฐานมาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาเซี่ยน ได้เมื่อใดก็ตาม นั่นหมายถึง ความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของเอเซียอันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางเกษตร ซึ่งเปรียบเหมือนกระเพาะของโลก จะเป็นตัวได้เปรียบทางด้านการค้าและการเงินของโลกในอนาคตอย่างมหาศาล เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตลาดการค้าอื่น ๆ ซึ่งไม่มีพื้นที่จะสร้างผลผลิตทางเกษตร อันปัจจัยหลักในการดำรงชีพ เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประกอบกับประเทศมหาอำนาจได้สูญเสียศักยภาพทางทะเล ในด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังไม่สามารถหามาทดแทนได้


ฉะนั้นอาศัยดัชนีเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้ว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นโดยมีประเทศไทย เป็นเหยื่อแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามยุทธวิธีแห่งสมการดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ผู้เขียนจะไม่อธิบายในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้เองอย่างเป็นรูปธรรม ฉะนั้นจะขอลำดับเหตุการณ์ เฉพาะเหตุการณ์สะท้านโลกที่พาประเทศ และประชาชนชาวไทยก้าวเข้าสู่ห้วงวิกฤต ดังนี้

ในช่วงปลายปี ๒๕๓๙ ได้มีการข่าวที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งจริงและไม่จริง ทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินอย่างเป็นระลอก นี่เป็นการเริ่มต้นของ M(Mental) อันเป็นอักษรตัวแรกของสมการเพื่อก่อให้ความเชื่อว่าน่าจะเป็นจริงตามข่าวลือนั้น คือเกิดกระแส O(Organization) อักษรตัวที่สองคือ ความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศไทย จากนั้นเป็นหน้าที่ของ C(Cash Value) อักษรตัวที่สามอันสร้างจากสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ส์ และ เอสแอนพีประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยลดความน่าเชื่อถือของไทยลงไป ตามติดด้วยนายจอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงในทันที และการกระทำดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งได้เคยกระทำมาในอดีตโดยการป้องกันค่าเงินบาทแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

 ดังได้กล่าวไปแล้วว่าสมการนี้มีความผกผันมากมาย ฉะนั้นยิ่งแก้ไขยิ่งยุ่งเหยิง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ประกาศจะสู้กับนักค้าเงินให้ถึงที่สุด ไทยเป็นเลือดนักรบมาแต่บรรพกาล แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ขอสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ถึงท่านจะเก่งอย่างไร มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการเงินที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็ไม่มีวันพ้นศักยภาพแห่งสมการของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ได้ตั้งดัชนีเวลาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว 


ดังนั้นการปล่อยข่าวทำลายศรัทธา(M) ทั้งสถาบันการเงินและตัวท่านจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดท่านก็พลาดเข้าสู่สมการอุบาทว์แห่งยุทธวิธีนี้จนได้ในการสั่งปิดสถาบันการเงินต่าง ๆ (O) และในที่สุดในวันที่ ๒ ก.ค.๒๕๔๐ ประเทศไทยต้องประกาศให้เงินบาทลอยตัว(C) ทำให้เงินบาทมีค่าน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน ดูเวลาช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน ย่อมมิใช่เป็นการบังเอิญเป็นแน่ และเป็นอุบัติการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งโลกช็อค หาคำตอบและสาเหตุไม่ได้ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ และไม่มีปัจจัยบอกเหตุทางเศรษฐศาสตร์ ให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ


สมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมิได้หยุดเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าประสงค์เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวสมการทุกตัวของยุทธวิธีมีค่าเป็นคูณเสมอ โดยเฉพาะตัวอักษร C นั้นนอกจากจะคูณแล้วยังยกกำลังสองอีกด้วย การปฏิบัติการจึงดำเนินต่อไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สมการนี้ก็เริ่มดำเนินการอีก

โดยการสร้างความความเชื่อในสังคมว่า ประเทศไทยต้องพึ่ง สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF แห่งเดียวเท่านั้นจึงจะรอดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ ในขณะที่สถาบันและองค์กรการเงินในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันสถาบันการสร้างความเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่านโยบายการทำงานของ IMF จะช่วยให้สมการนี้ บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะในการสลายองค์กร(C) ซึ่งแน่นอนที่สุดสมการนี้ก็ประสบผลสำเร็จเช่นเคย ประเทศไทยตกลงกู้เงินจาก IMF(ซึ่งเป็นตัวเบิกทางให้กับ C ตัวที่สอง) ให้เข้าควบคุมองค์กรและระบบการเงินของประเทศได้ โดยใช้เงื่อนไขเป็นหลักในการดำเนินการในอนาคต เส้นทางของเป้าประสงค์แห่งสมการอุบาทว์นี้ยังอยู่อีกไกล ทั้งนี้เป็นด้วยองค์ประกอบในขณะนั้น


พรรคฝ่ายค้านล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย ย่อมคัดค้านต่อรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายให้คนต่างชาติมีสิทธิทางกฎหมายเท่าเทียมกับคนไทยในประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสัมฤทธิ์ผลในการเข้ายึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายและดุษณีภาพ สมการของ C ตัวที่สอง ดังนั้นยุทธวิธีทำลายความเชื่อมั่นในตัวผู้นำจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (M) การสร้างแนวร่วมขึ้นต่อต้านโจมตีนโยบายรัฐบาล(O) พร้อมไปกับการลดความเชื่อถือทางการเงินทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างน่าใจหาย (C) ในที่สุดรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ก็จบลง อันเป็นไปตามขั้นตอนของยุทธวิธีแห่งสมการ


รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย เข้ารับหน้าที่แทน มีคณะทีมเศรษฐกิจซึ่งบอกเล่ากล่าวขานกันว่า มีฝีมือในการบริหารการเงิน เพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็มิได้รอดพ้นที่จะเป็นเครื่องมือของสมการอุบาทว์นี้เช่นกัน
โดยแทบจะทันทีทันใดหลังรับตำแหน่ง ก็ได้สั่งปิดองค์กรและสถาบันการเงิน ๕๖ แห่งอย่างถาวร

ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วการสั่งปิดหรือยึดทรัพย์ สินนั้นเป็นอำนาจของศาล ภายใต้ข้อเท็จจริงอันได้พิสูจน์โดยชัดแจ้ง ซึ่งก็นับว่าขัดต่อกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้พิสูจน์ว่า หนี้ใดดีหนี้ใดเสียได้อีกด้วยแต่ด้วยพลังแห่งสมการทำให้ ทีมเศรษฐกิจใช้เพียงข้อสมมุติฐานว่าหากปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้วจะทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นกลับมาลงทุน และค่าเงินบาทจะสูงขึ้นกว่าเดิม ผลปรากฏว่าต่างชาติกลับลงทุนในตลาดหุ้นของไทยน้อยลง รวมทั้งค่าเงินบาททำสถิติตกดิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิม 


ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายกันซ้ำอีกละว่ายิ่งแก้เหมือนยิ่งช่วยเร่ง ผลที่เกิดตามมาคือ อุตสาหกรรมการส่งออกขาดสภาพคล่องไม่มีเงินในการซื้อวัตถุดิบในการผลิตพนักงานตกงานในทันทีนับเป็นหมื่นคน วงล้อสมการอุบาทว์ยังคงหมุนต่อไป การทำลายความเชื่อถือในเงินบาทยังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอโดยสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ ประกาศลดเครดิตต่ำลงไปอีก ทำให้ต้องใช้เงินกู้ที่เป็นเงินสำรองออกแทรกแซงค่าเงินบาทซ้ำแล้วซ้ำอีก แนวความคิดเริ่มจะเชื่อว่า หากมีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทของคนไทย หรือซื้อบริษัทไปบริหารเลยได้มากเท่าไรจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้มากขึ้นเท่านั้น แรงขึ้นทุกขณะ และเกิดการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นนิติบุคคลได้เกินกว่าร้อยละ 50 และต่อไปคือ


อนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินและประกอบอาชีพได้เช่นประชาชนไทย ภายใต้ความเชื่อว่าเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ชาวต่างชาติเข้าซื้อหรือถือหุ้นในขณะนี้กลับเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้รัฐบาลมีความเชื่อว่า เป็นตัวก่อปัญหาให้เกิดหนี้สิน (สิ่งนี้จะเห็นได้อย่างชัดในเรื่องตลาดเงินเสรี อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สมการนี้)จะเห็นว่า ความผกผันของสมการนี้มีศักยภาพสูงมากเพราะว่ายิ่งแก้ไขมากเท่าไรยิ่งจมลงสู่ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ลึกลงไปทุกทีสัจธรรมที่ว่า อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จงเชื่อสิ่งที่เป็น ยังคงความอมตะเสมอ

ทีนี้เรามาดูถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้เกิดขึ้น ทางแก้ปัญหาโดยสามัญคือ การส่งสินค้าออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากที่สุด แต่สำหรับสมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้การแก้ไขคือการฆ่าตัวตาย พิสูจน์กันได้ชัดดังนี้คือ สินค้าออกของเราคือข้าว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วว่าเราขายข้าวเป็นสินค้าออกมากกว่าปีที่แล้ว และยังได้ราคาดีกว่าด้วยตามปกติแล้ว ย่อมหมายถึงกำไร แต่เปล่าเลยด้วยสมการนี้ ยิ่งส่งออกยิ่งขาดทุน 

ลองมาดูตัวเลขกันแบบตันต่อตันก็ได้ ในปี ๒๕๓๙ เราขายข้าวตันละ ๔,๐๐๐ บาท เท่ากับ $๑๔๒.๘๖ (๒๘บาท/ดอลลาร์ ) แต่ในปี ๒๕๔๐ เราขายข้าวตันละ ๖,๐๐๐บาท เท่ากับ ๑๒๗.๖๖(๔๗บาท/ดอลล์) เมื่อนำเอาตัวเลขตามอัตราแลกเปลี่ยนมาลบกันจะเห็นว่าเราขาดทุนไปตันละ ๑๕.๒๐ ดอลล่าห์หรือประมาณ ๗๑๔บาท ในการขายข้าวทุก ๆ หนึ่งตัน ดังนั้นยิ่งส่งออกข้าวมากขึ้นเท่าไร


นั่นหมายถึงเรายิ่งได้เงินน้อยลง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นโรงสี ผู้รับซื้อข้าวขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ไม่มีเงินสดมาซื้อข้าวจากเกษตรกร เนื่องจากสถาบันทางการเงินถูกปิด หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำเงื่อนไขของ IMF ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการสร้างสภาพคล่องทางการเงินคือ


สร้างให้เกิดกระแสการเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากที่สุด ส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้มากหรือตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ของนอก จำกัดการนำของนอกเข้า หรือจำกัดการนำเงินออกนอกประเทศ รีบกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด โดยผ่านทางงบประมาณของรัฐ สร้างความเชื่อถือในความมั่นคงของสถาบันการเงินให้มากที่สุด

แต่เนื่องจากว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ได้สัญญาไว้กับ IMF เอาเฉพาะเรื่องที่เกิดความผลผิดพลาดอันจากคำแนะนำของ IMF ที่เกิดขึ้นกับประเทศ เมื่อวันที่ ๘ ธ.ค.๒๕๔๐ ปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเฉพาะ ๔๘ ชั่วโมงแรกหลังคำสั่งนั้นกว่า ๕ หมื่นล้านบาท เฉพาะชั่วโมงเดียว ทำให้ประเทศไทย ที่แทบจะไม่มีเงินสำรองอยู่แล้วต้องนำเงินออกมาปกป้องค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองของประเทศสูญไปอีก 

ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัจจุบันว่าหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกมากเท่าใดใครจะรับผิดชอบ เงื่อนไขและคำแนะนำดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงประชาชนชาวไทย มีผลต่อวิถีชีวิตครอบครัว สภาพธุรกิจทั่วไปซึ่งไม่อาจดำเนินกิจกรรมได้โดยปกติสุข ปัญญาผู้มีความรู้ทั้งทางการเงินและสาชาต่าง ๆ อันเป็นทรัพยากรบุคคลนับเป็นล้านคน ซึ่งรัฐได้เสียงบประมาณการศึกษาหลายแสนล้านสร้างขึ้นมา กลายเป็นบุคคลไร้อาชีพ


เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวเองเนื่องจากขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ ก่อให้เกิดภาวะอาชญากรรมและเพิ่มจำนวนทุจริตชนมากขึ้น อันหมายถึงความไม่สงบเรียบร้อยภายในย่อมเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงสภาพสังคมของเยาวชนไทยที่ต้องออกจากการศึกษา เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานที่ฝังรากลึกกับอนาคตของชาติในด้านศีลธรรมจรรยา ที่พวกเขาพลาดเวลาในการเข้าศึกษาอบรมในวัยอันควร


ซึ่งจัดเป็นปัญหาในแนวดิ่ง การตัดงบประมาณต่าง ๆ ทำให้เสียสภาพคล่องในประเทศจัดเป็นการสูญเสียในแนวราบล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำของ IMF ทั้งสิ้น ต้องกล่าวชม นายกมหาเธร์ โมฮัมมัด ที่ไม่ยอมหลงกลเป็นเหยื่อให้กับสมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้ ซึ่งปรากฏผลว่าปัจจุบันค่าเงินริงกิตของมาเลเซียไม่ได้ตกต่ำตามที่ใครๆ คิด 


เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในเวลาเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจในมาเลเซียปัจจุบัน ก็มิได้เลวร้ายเช่นดังเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคตระบบธนาคารของไทยโดยเฉพาะสินเชื่อ จะเป็นอัมพาต หนี้ด้อยคุณภาพจะพุ่งขึ้นสูงสุด สั่งเข้าส่งออกจะตายสนิท และต่างชาติ มหาอำนาจจะใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือออกกฎหมายเพื่อเข้ายึดครองเบ็ดเสร็จ


ณ จุดนี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ประเทศของเราเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่ หากไม่เหตุไรเราจึงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนไทยเอง เหตุใดเราจึงต้องได้ยินคำกล่าวอ้างทุกครั้งว่าเป็นคำสั่ง หรือเป็นเงื่อนไขของ IMF เป็นผู้ให้กระทำทั้งสิ้น สิ่งที่น่าแปลกที่สุดในขณะนี้ก็คือการกระทำตามเงื่อนไขกลับเพิ่มปัญหาและส่งผลในทางลบกับประเทศ การกระทำหลายอย่างขัดต่อตัวบทกฎหมายความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดี อันส่งผลร้ายในระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าชาวไทยในแผ่นดิน มิได้เลือกเว้นว่าเป็นลูกเล็กเด็กแดง อันไม่มีส่วนรับรู้ ตกอยู่ในสภาพของเสมือนดังลูกหนี้ถ้วนหน้ากัน ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้ที่ไม่เคยรู้เห็น 

ฉะนั้นหากเราเป็นหนี้ IMF จริง โดยสภาพกฎหมายประชาชนไทยในฐานะลูกหนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เห็นสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้คือ IMF เพราะนับแต่วันที่อ้างว่ากู้เงิน IMF มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีการแสดง สัญญาเงินกู้ดังกล่าวต่อสาธารณชน และหากว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวนั้นรัฐบาลถือว่าเป็นความลับของชาติ ภาครัฐก็สามารถส่งให้คณะกรรมการกฤษฏีกา หรืออัยการสูงสุด ซึ่งล้วนแล้วได้ผ่านการวินิจฉัยสัญญาอันเป็นความลับสุดยอดของประเทศมาแล้วทั้งสิ้นและเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมายที่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญาใด ๆ อันรัฐได้กระทำกับต่างประเทศ ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบและผลประโยชน์ของประเทศอยู่แล้ว(เพราะไม่มีปรากฏในประมวลกฎหมายใดของประเทศไทยที่อนุญาตหรือยกเว้นให้ชาวต่างชาติมีอำนาจออกคำสั่งในการบริหาร สั่งการ หรือสร้างเงื่อนไขให้รัฐปฏิบัติตามได้ ผู้เขียน)


แต่ก็ไม่เคยมีการส่งให้หน่วยงานดังกล่าวตีความ เพราะข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงก็คือ ประเทศไทยไม่เคยทำสัญญาเงินกู้ใด ๆเป็นลายลักษณ์อักษรกับ IMF แม้แต่ฉบับเดียว สิ่งที่นำมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อเสนอฝ่ายเดียวซึ่งรัฐบาลไทยเสนอกับ IMF ว่าจะทำอะไรตอบแทนบ้างเท่านั้น ดังที่เรียกกันว่าหนังสือแสดงเจตจำนงค์หรือ LETTER OF INTENTนั้น ลงนามโดยรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว ซึ่งสามารถแก้ไข ยกเลิกได้ตลอดเวลาแต่ทำไมจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่นต้องปิดสถาบันการเงิน หรือขายรัฐวิสาหกิจและไม่เคยปรากฏว่ามีสัญญาเงินกู้ LOAN AGREEMENT กับ IMF เลยแม้แต่ฉบับเดียว แล้วเราเป็นหนี้เขาแต่เมื่อไร ? นี่คือสิ่งที่ประชาชนไทยต้องการความกระจ่างชัด

ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านคงจะวินิจฉัยได้โดยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงขอฝากความเป็นความตายของชาติไว้ในมือของท่านผู้ทรงปัญญา นักวิชาการและประชาชน ที่จะหาแนวทาง วิธีการแก้ไข ถอดสมการอุบาทว์ให้หมดศักยภาพไป

" ก่อนที่คนไทย จะไม่เหลือแผ่นดิน "


ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขายสินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้เพื่อการ “ล่าอาณานิคม” ชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจทีกลมกลืนระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย .......( ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป )

สหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการเพื่อการยึดครองประเทศต่าง ๆ ด้วยการใช้สัมการกลืนชาติและพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมายเป็นระยะเวลานานโดยอาศัยความร่วมมือของนักการเมืองและนักธุรกิจชาวไทย ที่ปราศจากสำนึกในเรื่องความมั่นคงของชาติ 

นักการเมืองบางคนโดยอุดมการณ์แล้วเป็นได้เพียงแค่นักเลือกตั้งสามัญสำนึกในด้านการสร้างชาติ การป้องกันประเทศชาติจากภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ยังไม่มี หรือไม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ตนได้รับตำแหน่งสูงทางการเมือง เท่าที่ตนต้องการแต่เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งนั้นแล้วนอกจากจะทำหน้าที่นักการเมืองที่ดีไม่ได้แล้วยังตกเป็นเหยื่อของต่างชาติที่ใช้เป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายชาติของตนเอง นักการเมืองเช่นนี้มีอยู่มากมายในวงการเมืองไทย เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่เห็นแก่ได้เพียงอย่างเดียว จิตใจไร้สำนึกของความเป็นไทย ขายทุกอย่างได้เพื่อให้ตนได้ประโยชน์ที่ต้องการแม้แต่ขายจิตวิญญาณของความเป็นไทยไป นักธุรกิจเช่นนี้มีมากมายแม้แต่กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อยในสังคมไทย 


จึงทำให้วัฎฐจักรการเมืองและธุรกิจของไทยต้องล้มแล้วล้มเล่าแล้วในที่สุดก็กลายเป็นทาสของต่างชาติดังที่เห็นอยู่เท่าทุกวันนี้ คนเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เขาเป็นได้เพียงแค่เครื่องมือของต่างชาติที่ถูกบงการให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองของตนเอง ภาพของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักธุรกิจที่ดูในบางยุคบางสมัยอาจจะดูสวยหรูแต่เมื่อตนลงจากอำนาจทางการเมืองแล้ว ในที่สุดเรื่องราวที่ตนทำไว้ก็จะต้องถูกเปิดโปงให้สาธารณะชนทราบไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน 


และในชั่วชีวิตของผู้เขียนเอง เชื่ออย่างเหลือเกินว่า นักการเมืองและนักธุรกิจทั้งหลายที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลสถิตยุติธรรมเพื่อพิจารณาลงโทษ แม้จะแก่เฒ่าปานใดแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของชนรุ่นหลังต่อไป สหรัฐอเมริกาได้ใช้บุคคลเหล่านี้ของคนไทยเป็นเครื่องมือ จึงทำให้งานต่าง ๆ ที่มีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนสำเร็จได้โดยตลอดจนกระทั่งในผลสุดท้ายสามารถที่จะทำให้เกิดเป็น วิกฤตเศรษฐกิจของไทยจนไม่อาจจะเยียวยาได้ตลอดไป( ขอย้ำว่าเยียวยาไม่ได้ตลอดไปไม่มีข้อยกเว้น ) ที่เห็นชัดที่สุดคือ


การออกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับที่ปรากฏต่อชาวไทยว่าเป็นกฎหมายทาสที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างยาวนานทั้งที่คนไทยจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม แม้แต่ในขณะนี้ผลอันนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง การสร้างสถานการณ์อย่างแนบเนียนที่ทำให้เกื้อกูลต่อความสำเร็จจนถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องเป็นจนกระทั่งเหมือนว่าไม่มีการสร้างสถานการณ์โดยมือมนุษย์แล้วนำไปสู่ชัยชนะตามเป้าหมายเช่นนี้เมื่อกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้วซุน วู ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“....ที่โบราณเรียกว่าผู้สันทัดการรบนั้นคือ ชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันทัดการรบ จึงมิได้ชื่อว่ามีสติปัญญา มิมีความชอบในเชิงกล้าหาญ ฉะนั้นชัยชนะของเขาจึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขาก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบจึงอยู่ในฐานไม่แพ้และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกแพ้...”

ความหมายก็คือผู้ที่เยี่ยมยุทธ์ที่สุดเขาจะเตรียมการมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องให้การเตรียมการนั้นเสมือนการเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ใช้นักวางแผนของตนทำเช่นนั้น เสมือนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คนไทยก็เชื่อกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติมิได้คิดว่า เป็นการกระทำของคนที่เตรียมการและดำเนินการตามแผนมาแล้วอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกวันนี้ก็ยังคงเชื่อกันเช่นนั้น 

แต่ถ้าในเชิงของการวางแผนรวมทั้งตำราพิชัยสงครามแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็น การวางแผนและดำเนินการตามแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแนบเนียนที่สุดจนคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจการวางแผนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่คือสุดยอดของการวางแผนตามตำราพิชัยสงครามซุน วู ที่กล่าวแล้วข้างต้น ฉะนั้นชัยชนะที่เราเห็นกัน ก็จะมองเห็นว่าเหมือนโชคช่วย แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ กว่าที่จะทำให้เหมือนโชคช่วยได้ต้องผ่านขั้นตอน ของการเตรียมการมาอย่างมากมาย ที่สหรัฐฯ ทำเช่นนี้ได้ทำให้สามารถครอบครองประเทศต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด การทำเช่นนี้ได้ 


ซุน วู กล่าวอีกว่า “....ฉะนั้น


การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย
รองมาคือชนะด้วยการทูต
รองมาคือชนะด้วยการรบ 
เลวสุดคือการตีเมือง

กลวิธีแห่งการรุก ...ผู้สันทัดการบัญชาทัพ จักสยบข้าศึกได้โดยมิต้องตี จักทำลายประเทศข้าศึกโดยมิต้องนาน จักครองปฐพีได้ด้วยชัยชนะอันสมบูรณ์ ดังนี้ กองทัพมิต้องเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ ก็ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์

นี่คือกลวิธีแห่งการรุก....


ชัยชนะครั้งนี้ของสหรัฐฯ นับเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดเป็นสุดยอดแห่งชัยชนะตามตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู คือชนะโดยที่ไม่ต้องรบ โดยสิ่งที่สหรัฐฯ ได้รับอย่างเป็นรูปธรรมคือ


๑) เงินไหลเข้าสหรัฐฯ ทันที ๒๘ ล้านล้านบาท สร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐฯ ขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง

๒) สหรัฐฯ ครอบครองประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยใช้สงครามเศรษฐกิจ ซึ่งสงครามชนิดนี้สามารถครอบครองพลังอำนาจของชาติได้ทุกมิติยิ่งกว่าสงครามที่ใช้กำลังทหาร คือสามารถยึดครองเป้าหมายไปถึงรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณ ยึดครองได้ยาวนาน บางประเทศไม่รู้ตัวว่าถูกยึดครองและยึดครองอย่างไร้การต่อต้าน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสงคราม แต่ก็อยู่ในกรอบของตำราพิชัยสงคราม ซุน วู 


๓) ปิดล้อมจีนได้ตามเป้าหมาย เมื่อสหรัฐฯ ได้สร้างสถานการณ์จนสุกงอมแล้ว สถานการณ์นั้นได้สร้างความบอบช้ำอยู่ในตัวตามสัมการ เมื่อเป้าหมายบอบช้ำ สหรัฐฯ จึงกระหน่ำซ้ำเติมเอาตามใจชอบ นี่คือการใช้กลยุทธ์ “รอซ้ำยามเปลี้ย”


กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า

“เมื่อประสงค์จักบั่นทอนกำลังของข้าศึก ก็มีแต่จะต้องทำลายความแกร่งกล้าของข้าศึกลงไป ทำให้ทั้งนายและพลอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แล้วจึงเข้ารุกรบโจมตีเอาในภายหลัง”



Source :  http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=561.0

No comments:

Post a Comment