
โดยเจ้าหน้าที่ได้แนะนำตัวเองว่าเป็นตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมทั้งสอบถามถึงประวัติส่วนตัวของอัญชนา หีมมิหน๊ะ ในเรื่องการทำงาน และได้ถ่ายรูปมารดาและบ้านของนางสาวอัญชนาไว้หลายรูป แต่ไม่ได้เข้าไปด้านในบ้าน การพบครั้งนี้ไม่มีหมายหรือเอกสารใดๆมาแสดง ภายหลังจากพูดคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว ก่อนกลับเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับมารดาว่าฝากบอกลูกสาวด้วยว่าห้ามเล่นไลน์ (line) และเฟซบุ๊ก (facebook)

ต่อมา 14 ก.พ. 2559 แม่ทัพภาค 4 ได้โทรเรียกให้ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ และทีมงานที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลเพื่อทำรายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี เข้าไปพูดคุยที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เวลา 14.00 น. ทั้งนี้ได้มีการคุยกันประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นต่อกันในเรื่องรายงานและการจัดบันทึกข้อร้องเรียนจากผู้เสียหายจากการทรมาน
น.ส.อัญชนา หีมมีหน๊ะ กลุ่มด้วยใจเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่มาพบครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากการเผยแพร่รายงานสถานการณ์ทรมานฯออกไป ทั้งนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายใดได้ไปพบเจ้าหน้าที่คนอื่นขององค์กรเครือข่ายที่ช่วยเก็บข้อมูลและเจ้าของกรณีที่ให้ข้อมูล
สำหรับรายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้ ปี 2557-2558 เป็นรายงานซึ่งจัดทำโดยกลุ่มด้วยใจ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี
โดยรายงานเป็นการนำเสนอหลักการและผลของการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบประเมินผลกระทบจากการทรมานฯ เพื่อประกอบการวินิจฉัยของแพทย์โดยแบบสอบถามดังกล่าวได้นำหลักการสากลที่ชื่อว่า “พิธีสารอิสตันบูล” (Istanbul Protocol: Manual on the Effective Investigation and Documentation of Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment) มาเป็นแนวทางในการตั้งกรอบคำถามและแนวทางการบันทึกผลกระทบจากการทรมานจากผู้ร้องเรียนทั้งหมด 54 ราย
Source : https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/20/south_threaten/
No comments:
Post a Comment