กลยุทธชนะศึก
เมื่อเมื่อยามเราเป็นฝ่ายเหนือกว่า
ก่อนอื่นจะต้องสยบข้าศึกลงไป
ใช้การรุกรบอย่างเป็นฝ่ายกระทำ
ทำสงครามด้วยรูปการที่เป็นผลดีที่สุด

กลยุทธ์ที่ ๒ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
“ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก ศัตรูแจ้งมิสู้ศัตรูมืด”
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลังพลไว้ ควรจะใช้กลอุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ทำให้กำลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลังครั้นแล้วจึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ “ ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก” และตำราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนานนามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น “ศัตรูแจ้ง” ส่วนยุทธศาสตร์กำราบข้าศึกทีหลังเป็น “ศัตรูมืด” ภายใต้สภาพการณ์ที่แน่นอน การบุกข้าศึกทีหลัง ได้เปรียบกว่าการส่งทหารเข้าบุกก่อน
กลยุทธ์นี้หมายถึงการใช้ศิลปะการต่อสู้ทางการทหารที่เรียกว่า “ ถ้ามาหลายก็ให้แยก” “ ถ้าบุกก็ให้ถอย" “ การส่งทหารเข้าบุกก่อนมิสู้ตีโต้ตอบทีหลัง” นี้เป็นกลยุทธ์ที่ ” เลี่ยงแน่นตีกลวง เลี่ยงแข็งตีอ่อน เลี่ยงที่สงบตีที่ปั่นป่วน เลี่ยงที่ฮึกเหิมตีที่ย่อท้อ” เพื่อขับข้าศึก และเข้าบดขยี้ข้าศึกในภายหลังอย่างหนึ่ง ในตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู บทว่าด้วย “จริงลวง” ได้เขียนไว้ว่า “ เรารวมเป็นหนึ่ง ข้าศึกแยกเป็นสิบ.....เราก็มากข้าศึกก็น้อย” ในบันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติซุน วู อู๋ฉี” และบันทึกประวัติศาสตร์เรื่อง “จือจื้อทงเจี้ยน ศักราชที่ ๒ แห่งราชวงศ์โจว” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
หลังจากซู วู นักการทหารผู้มีอัจฉริยะแห่งยุคชุนชิว ( ก่อนคริสตกาล ๘๔๑-๓๗๖ ปี ) ถึงแก่กรรมไปร้อยกว่าปี มาถึงยุคจ้านกว๋อ ( ก่อนคริสตกาล ๔๗๕ – ๒๒๑ ปี ) ก็มีนักการทหารผู้มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง มีชื่อว่า ซุนปิน เกิดอยู่ในพื้นที่ระหว่างเมืองอาเฉินกับเมืองจ่วนเฉินในมณฑลซานตงปัจจุบันว่ากันว่าความจริง เขาสืบเชื้อสายมาจากซุน วู เมื่อเล็กเคยรับการศึกษาจากอาจารย์หวางสี่พร้อมกับพังจวน หวางสี่เก็บตัวไม่ข้องแวะกับโลกภายนอกอยู่ในหุบเขาปีศาจ ณ เมืองหยาง เรียกตัวเองว่าคนหุบเขาปีศาจ คนทั้งหลายเรียกเขาว่า อาจารย์หุบเขาปีศาจ
ต่อมาพังจวนก็เดินทางไปยังแคว้นเว่ย ซึ่งในในเวลานั้นฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยกำลังแสวงหาผู้รู้อย่างกว้างขวาง พังจวนจึงไปพบอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเว่ยชื่อหวางช่อ หวางช่อจึงแนะนำพังจวนให้แก่ฮุ่ยอ๋อง ฮุ่ยอ๋องให้เข้าเฝ้าไต่ถามเรื่องพิชัยสงคราม พังจวนปกติก็เป็นคนชอบคุยอวดตัวเอง จึงตอบได้เป็นคุ้งเป็นแคว ทำให้ฮุ่ยอ๋องเกิดความเลื่อมใส จึงตั้งให้เป็นขุนพล แต่ตัวพังจวนเองรู้ดีว่า ความรู้ความสามารถของตนหาเทียบได้กับซุนปินไม่ เกรงว่าหากซุนปินไปเข้ากับแคว้นอื่นก็จักไม่เป็นผลดีแก่ตน จึงยุให้ฮุ่ยอ๋องตกรางวัลก้อนใหญ่ ไปเชิญตัวซุนปินมายังแคว้นเว่ย เพื่อคุมตัวไว้มิให้เป็นภัยแกตน
เมื่อซุนปินมาถึงแคว้นเว่ย ฮุ่ยอ๋องก็เชิญให้แสดงความรู้ในพิชัยสงคราม ซุนปินโต้ตอบอย่างมิมีขัดข้อง ทั้งการวิเคราะห์เหตุผลก็เกินหน้าพังจวนเป็นหลายเท่า ฮุ่ยอ๋องจึงตั้งให้เป็นขุนนางต่างแดน พังจวนเห็นฮุ่ยอ๋อง ยกย่องซุนปินยิ่งกว่าตน ก็เกรงว่าซุนปินจะชิงเอาอำนาจการบัญชาทหารไปจากมือตน ก็ให้รู้สึกริษยาเป็นกำลัง และคิดที่จะขจัดซุนปินให้พ้นหน้าพ้นตาไปทุกขณะจิต ซุนปินความจริงเป็นชาวแคว้นฉี แต่ก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในแคว้นฉีเลย ทว่าแคว้นฉีกับแคว้นเว่ยต่างชิงกันเป็นใหญ่ ต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน พังจวนจึงอาศัยเหตุนี้ใส่ความซุนปินต่าง ๆ นานาต่อหน้าฮุ่ยอ๋องกล่าวหาว่าซุนปินจะตีจากแคว้นเว่ยไปอยู่กับแคว้นฉี
หากซุนปินไปอยู่แคว้นฉีแล้วก็จะไม่เป็นผลดีแก่แคว้นเว่ย เพราะซุนปินรู้ตื้นลึกหนาบางของแคว้นเว่ยทั้งหมด พร้อมกันนั้นพังจวนก็สร้างหลักฐานเท็จ ปลอมจดหมายซุนปิน ส่งถึงแคว้นฉีขึ้นฉบับหนึ่ง นำไปยืนยันฮุ่ยอ๋องเชื่อว่า เป็นความจริงก็จับตัวซุนปินเข้าคุก พังจวนก็ถืออำนาจให้ตัดลูกสะบ้าหัวเข่าออกทั้ง ๒ ข้างมิให้ซุนปินเดินได้ มิหนำซ้ำยังสักหน้าซุนปินด้วยอักษรว่า “คบคิดต่างชาติ” ๔ ตัวอยู่บนหน้าผาก เพื่อประจานมิให้ซุนปินพบเห็นใครได้อีกต่อไป ทั้งจะเป็นขุนนางในแคว้นใดก็ไม่ได้อีกด้วย แม้จะคุมขังและทรมานซุนปินถึงขนาดนั้นแล้ว พังจวนก็ยังกลัวว่าซุนปินจะหลบหนีไปได้ จึงส่งคนมาเฝ้าอย่างเข้มงวด ซุนปินในระหว่างที่ศึกษามาด้วยกันกับพังจวนที่อาจารย์หุบเขาปีศาจนั้น แม้จะรู้ว่าพังจวนเป็นคนใจคอคับแคบ ไม่มีน้ำใจแกคนอื่นก็ตาม แต่ไม่นึกว่าพังจวนจะเป็นคนขี้อิจฉาริษยาถึงเพียงนี้และโหดเหี้ยมถึงเพียงนี จึงปฏิญาณว่าแค้นนี้จักต้องชำระให้ได้ในวันหนึ่งข้าหน้าแต่ตนก็ถูกคุมขังอยู่จักหนีไปไหนได้ ซุนปินจึงจนปัญญาได้แต่แค้นอยู่ในใจ
อยู่มาวันหนึ่ง ซุนปินคิดถึงในตำราพิชัยสงครามมีอยู่คำหนึ่งว่า “การศึกมิหน่ายเล่ห์” ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นบ้า เพื่อมึนชาพังจวน ปล่อยผมเผ้าให้รุงรังน้ำลายฟูมปาก บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ ๒ ตาเหม่อลอยไร้แววและมักจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางส่งเสียงเห่าหนอเหมือนสุนัข พังจวนได้รับรายงานว่าซุนปินเป็นบ้าก็ไม่เชื่อจึงมาดู ณ ที่คุมขังด้วยตนเอง เมื่อห็นหน้าพังจวน ซุนปินยิ่งทำบ้าหนักขึ้น แต่พังจวนก็ยังไม่คลายความสงสัย สั่งให้คนส่งสุราอาหารไปให้ ซุนปินก็เอาข้าวสาดขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เทลงบนพื้น พังจวนก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ ก็สั่งคนเอาอาจมส่งให้ซุนปิน ซุนปินก็ควักใส่ปากหน้าตาเฉย พังจวนจึงเชื่อแน่ว่า ซุนปินบ้าจริงให้รู้สึกโล่งอก การเฝ้าดูก็คลายความเข้มงวดลง บางครั้งยังยอมให้ออกมาเดินเล่นนอกคุก เรื่องที่ซุนปินถูกตัดสะบ้าและสักหน้าแพร่ไปยังแคว้นต่าง ๆ ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจซุนปินเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิรู้จะช่วยซุนปินได้อย่างไร
ปีรุ่งขึ้นแคว้นฉีส่งทูตไปยังแคว้นเว่ย ซุนปินทราบข่าวเข้าก็ฉวยโอกาสในคืนที่ฝนตกหนัก การควบคุมหย่อนยานคลานไปหาทูตแคว้นฉียังที่พักพรรณนาให้ทราบถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ขอร้องให้ทูตแคว้นฉีช่วยตนให้ออกจากแคว้นเว่ยไป ทูตแคว้นฉีรู้เรื่องความไม่เป็นธรรมที่ซุนปินได้รับมาแล้ว ทั้งนับถือในความสามารถของซุนปิน จึงตอบรับที่จะช่วยครั้นปรึกษาหารือกันหลายตลบก็ตกลงว่า จะซ่อนตัวซุนปินไว้ในรถนั่งของทูตแคว้นฉีลอบพาซุนปินให้พ้นแคว้นเว่ยไป เมื่อไปถึงเมืองหลวงของแคว้นฉี ทูตฉีจึงนำซุนปินไปพบกับเถียนจี้ขุนพลใหญ่แห่งแคว้นฉี เถียนจี้จึงไต่ถามเรื่องพิชัยสงคราม ซุนปินก็อธิบายให้ฟังอยู่ ๓ วัน ๓ คืน เถียนจี้เลื่อมใสยิ่งนัก ต้อนรับซุนปินในฐานะแขกพิเศษ
ในเวลานั้น เถียนจี้มักจะแข่งม้าเอาพนันกับพวกลูกท่านหลานเธอของแคว้นฉีอยู่เสมอ ๆ เถียนจี้จึงเชิญซุนปินนั่งรถไปชมการแข่งม้าด้วย แต่ม้าของเถียนจี้พ่ายแล้วพ่ายอีก ซุนปินดูอยู่ไม่กี่ครั้งก็รู้ว่าม้านั้นมี ๓ อันดับ คือ ดี กลาง และเลว จึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า “ ท่านจงไปแข่งม้าอีก ท้าพนันกับท่านเหล่านั้นให้มากว่าวเดิม คราวนี้ข้าพเจ้ารับรองว่าท่านจักต้องชนะ” เถียนจี้รู้ดีว่าซุนปินเฉลียวฉลาดสติปัญญาลึกล้ำ จึงทำตามซุนปินบอกพวกลูกท่านหลานเธอรู้ฝีเท้าม้าของเถียนจี้ดี ก็รับพนันด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อไปถึงสนามม้า ซุนปินจึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า “ ท่านจงเอาม้าชั้นเลวของท่านเข้าแข่งกับม้าชั้นดีของพวกเขา แล้วเอาม้าชั้นดีของท่านแข่งกับม้าชั้นกลาง สุดท้ายก็เอาม้าชั้นกลางแข่งกับม้าชั้นเลวของพวกเขา ดังนี้ท่านก็จะแพ้หนึ่งเที่ยว ชนะ ๒ เที่ยว เงินรางวัลก้อนใหญ่ก็จะตกเป็นของท่านขุนพลมิเป็นอื่น” เถียนจี้ทำตามคำบอกกล่าวของซุนปิน เที่ยวที่ ๑ ม้าของเถียนจี้แพ้พวกลูกท่านหลายเธอพากันดีใจกระโดดโลดเต้น คิดว่าเงินพนันคงจะไม่ไปไหนเสีย แต่หารู้ไม่ว่าเที่ยว ๒ กลับแพ้ และเที่ยวที่ ๓ ก็ยังแพ้อีก จึงเสียเงินพนันให้กับเถียนจี้ถึงพันตำลึงทอง นับแต่นั้นมา เถียนจี้ก็ยิ่งนิยมชมชอบในตัวซุนปินเป็นทวีคูณ
เรื่องการแข่งม้ารู้ไปถึงเว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉี จึงถามเอาความแก่เถียนจี้ เถียนจี้จึงนำตัวซุนปินเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง เว่ยอ๋องสนทนาเรื่องพิชัยสงครามกับซุนปิน ซุนปินตอบโต้มิติดขัด เว่ยอ๋องให้รู้สึกพอพระทัยเป็นยิ่งนัก เสียดายที่พบซุนปินช้าไป จึงตั้งให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาฝ่ายการทหารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปีที่ ๑๒ แห่งศักราชโจวเซี่ยนอ๋อง ( ๓๕๒ ปีก่อนคริสตกาล) ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยคิดจะตีแคว้นจงซานคืนจากแคว้นจ้าว แคว้นจงซานนี้เดิมทีเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเว่ย ต่อมาแคว้นเว่ยก็กลืนแคว้นนี้เสีย แล้วส่งบุตรชายไปครองเมือง ต่อมาบุตรชายมางานศพบิดายังเมืองหลวง แคว้นจ้าวก็ฉวยโอกาสยึดแคว้นจงซานไปเป็นของตน เมื่อภายในบ้านเมืองสงบลง ฮุ่ยอ๋องซึ่งก็คือ ผู้ครองบัลลังก์แทนบิดา จึงสั่งให้พังจวนนำทัพไปตีเอาแคว้นนี้กลับคืนมา แต่พังจวนเห็นว่า แคว้นจงซาน มีเนื้อที่เท่าแมวดิ้นตาย เป็นแดนกันดารใกล้แคว้นจ้าว ห่างแคว้นเว่ย มิหนำซ้ำยังต้องเดินทางระยะไกลจึงจะถึง และถึงแม้ว่าจะตีคืนได้ ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อแคว้นตาง ๆ แต่ประการใด
พังจวนจึงแนะอุบายแก่ฮุ่ยอ๋องว่า “ ที่ท่านอ๋องมีความประสงค์จักตีแคว้นจงซานคืนก็เพียงเพื่อแก้แค้นที่ทำให้เสียหน้าแต่กาลก่อน จงซานเป็นแคว้นเล็ก ๆ ไม่มีความหมาย หากจะตีก็ควรตีเอาเมืองหลวงของแคว้นจ้าวคืนคนหานตานเสียเลย แก้ได้ทั้งความแค้น และก็ทำให้แคว้นต่าง ๆ ต้องกระเทือนไป มิให้คิดดูหมิ่นแคว้นเว่ยอีกต่อไป หากท่านอ๋องต้องการจะแผ่อำนาจให้กว้างไพศาลออกไป ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ควรจะลงมือจากนี้ก่อน”
ฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตบโต๊ะหัวเราะชอบใจว่า “ท่านนี้ช่วงรู้ใจเรา กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว วิเศษจริง ๆ”จึงแต่งตั้งให้พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่นำทหาร ๕๐๐ รถศึกมุ่งไปยังแคว้นจ้าว เข้าล้อมนครหานตานไว้ในทันที ผู้ครองแคว้นจ้าวเมื่อทราบว่าทหารของแคว้นเว่ยล้อมนครหานตานไว้เพื่อทวงแคว้นจงซานคืน จึงส่งคนไปขอความช่วยเหลือยังแคว้นฉี โดยเงื่อนไขว่าหากตีการล้อมเมืองของแคว้นเว่ยได้แล้ว ก็จะมอบแคว้นจงซานให้เป็นค่าตอบแทน เว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉีตกลง คิดจะตั้งให้ซุนปินเป็นแม่ทัพยกทหารไปช่วยแคว้นจ้าว แต่ซุนปินไม่ยอมรับ แจ้งว่าตนเป็นคนมีโทษติดตัว มิสมควรจะเป็นแม่ทัพ ดังนั้น เว่ยอ๋องจึงตั้งเถียนจี้เป็นแม่ทัพและให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาเดินทางไปด้วยกัน เถียนจี้นำทัพของแคว้นฉีมุ่งไปทางตะวันตก
ครั้นถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นจ้าว เถียนจี้ก็ออกคำสั่งให้บุกเข้าไปทางนครหานตานซุนปินรีบห้ามไว้ กล่าวว่า “ การแก้กรณีพิพาทที่สลับซับซ้อน มิควรจะผลีผลามโดยใช้แต่กำลังเรามิควรจะเข้าพัวพันด้วยการปะทะของทั้งสองฝ่าย หากแต่ควรหลีกกำลังที่แข็งแกร่ง ตีจุดที่อ่อนแอเปลี่ยนแปลงแนวโน้มยุติกรณีพิพาท การโอบล้อมก็จะผ่านคลายไป เวลานี้เว่ยล้อมเมืองหลวงของจ้าวทหารชาญศึกย่อมจะทุ่มเทมาอยู่ทางนี้จนหมดสิ้น ภายในแคว้นย่อมจะว่างเปล่า กองทัพเรามิสู้มุ่งเข้าหาแคว้นเว่ย ยึดเส้นทางคมนาคมสร้างแผนลวงว่า จะตีเมืองเซียงหลิงของแคว้นเว่ย แล้วตีนครต้าเหลียง ( สองเมืองนี้อยู่ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน)จริง ๆ เมื่อพังจวนได้ข่าวก็จะรีบนำทัพกลับมาช่วย เราก็ซุ่มตีเสียที่กลางทาง กองทัพของพังจวนจักต้องพ่ายเป็นแน่แท้การโอบล้อมนครหานตานไม่ต้องตีก็หลุดไปเอง” เถียนจี้ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี จึงเปลี่ยนคำสั่งให้บุกเข้าไปทางแคว้นเว่ย แคว้นเว่ยได้ข่าวว่ากองทัพฉีจะบุกเข้าตีเซียงหลิง ก็ส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่พังจวน พังจวนตกใจ ถ้าเซียงหลิงแตก นครต้าเหลียงก็รักษาไว้ไม่ได้ สถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงสั่งให้ถอนทัพ ยักกลับมาช่วยเซียงหลิง
การโอบล้อมนครหานตานก็ปลดเปลื้องไปได้ ซุนปินทราบว่าพังจวนถอนทัพกลับ ก็ซุ่มทหารไว้ที่กุ้ยหลิงอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญ รอกองทัพของพังจวน และส่งกองหน้าไปลวงทัพของพังจวนให้ถลำเข้ามา พังจวนพบกับกองหน้าของแคว้นฉี ด้วยความแค้นเคืองจึงตามตีอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็หลงกลของทัพฉี ทหารเว่ยเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย กำลังก็อ่อนเปลี้ย เมื่อตกอยู่ในวงซุ่มตี ก็แตกตื่นมิเป็นอันสู้รบ หลบหนีกระจัดกระจายมิเป็นกระบวน พังจวนก็ไม่อาจบัญชาการรบได้ ทัพฉีก็ฉวยโอกาสไล่ฆ่าฟันทหารเว่ยอย่างมันมือ ทัพเว่ยพ่ายแพ้ยับเยิน พังจวนจึงได้แต่รวบรวมไพร่พลที่หลงเหลืออยู่กลับแคว้นเว่ยอย่างเจ็บช้ำ ต่อมาจึงส่งคนสืบทราบว่าเป็นแผนของซุนปิน ก็ให้แค้นเคืองยิ่งนัก ส่วนทัพฉีก็ได้รับชัยชนะกลับไป เมื่อได้แก้แค้นดังนี้แล้ว ซุนปินจึงค่อยสบายใจขึ้น และนี่ก็คือกลยุทธ์ “ล้อมเว่ยช่วยเจ้า” อันลือชื่อของซุนปิน
ต่อมาอีก ๑๐ ปี แคว้นหานกลืนแคว้นเจิ้น นับวันเข้มแข็งขึ้น แคว้นจ้าวซึ่งยังเคืองแค้นแคว้นเว่ยอยู่ไม่หายเมื่อคราวส่งทัพมาล้อมนครหานตานจึงส่งทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นหาน ในระหว่างงานกินเลี้ยงทูตแคว้นจ้าวก็เสนอให้แคว้นหานกับแคว้นจ้าวร่วมมือกันบุกแคว้นเว่ย เว่ยแตกเมื่อใดก็ให้เอาดินแดนมาแบ่งกันคนละครึ่ง แต่แคว้นหานในปีนั้นผลก็เก็บเกี่ยวเสียหายมาก จึงขอผัดไปเป็นปีหนี้ ความนี้รู้ไปถึงแคว้นเว่ย พังจวนจึงแนะฮุ่ยอ๋องว่า “ ถ้าปล่อยให้ ๒ แคว้นนี้รวมกำลังกันมาตีเว่ยแล้วเราก็จะเพลี่ยงพล้ำ เว่ยมิสู้ชิงลงมือก่อน เปิดการเจรจากับแคว้นจ้าว ให้ร่มกันตีแคว้นหาน ถ้าไม่เห็นด้วยเราก็ตีกลืนเอาแคว้นหานมาเสีย แล้วจึงจัดการกับแคว้นจ้าวทีหลัง”
ฮุ่ยอ๋องเห็นด้วย ตั้งเว่ยเซินบุตรชายเป็นแม่ทัพหลวง พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกองทัพมุ่งเข้าแคว้นหาน จนถึงเมืองหลวงนครซินตูของหานจึงเข้าล้อมไว้ แคว้นหานถูกล้อมเมืองหลวงก็ให้ตกใจนัก ความจริงหานกับจ้าวมีสัญญาบุกเว่ยร่วมกันแคว้นหานควรที่จะไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นจ้าว แต่เมื่อคิดอีกที ก็เห็นว่าพังจวนเป็นขุนพลที่พ่ายศึกแก่ทัพฉีมาก่อน ขอความช่วยเหลือจากจ้าวมิสู้ขอจากฉี ผู้ครองแคว้นจึงรีบส่งหนังสือขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นฉี ผู้ครองแคว้นฉีในตอนนี้คือฉีซวนอ๋อง เมื่อรับหนังสือของแคว้นหานแล้วก็เรียกขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าปรึกษาความ แต่ความเห็นก็แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายบุ๋นที่มิให้ความช่วยเหลือมีความเห็นว่า “หานรบกับเว่ย คงจะอ่อนเปลี้ยไปทั้ง ๒ ฝ่าย จะเป็นคุณแก่เพื่อนบ้าน” แต่ฝ่ายบู๊ซึ่งเถียนจี้เป็นตัวตั้งตัวตี มีความเห็นว่าควรช่วยเพราะ “ หากเว่ยชนะหานก็ได้หานไป ครั้นแล้วก็จะตีฉีต่อฉีจะหาความสงบมิได้ จึงควรช่วยหาน ฉีจึงจะอยู่เป็นสุข” ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันมิอาจลงรอยกันได้
ซุนปินเห็นทั้ง ๒ ฝ่ายโต้กันหน้าดำหน้าแดง ก็ยิ้มอยู่ใบหน้ามิปริปากว่ากระไร ฉีซวนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าซุนปินคงมีอุบายดีอยู่ในใจ จึงถามว่า “ที่ท่านกุนซือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั้นเพราะเห็นว่าทั้ง ๒ ฝ่าย ล้วนมิควรทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ซุนปินจึงตอบว่า “ที่แล้วมาเว่ยถือว่าตนแข็งแกร่ง กรีฑาทัพบุกจ้าวบัดนี้ก็บุกหานอีก ใจของเว่ยคิดแต่จะกลืนหานกลืนจ้าว เท่านั้นหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลืนหานกลืนจ้าวแล้วปลายหอกก็จะพุ่งมาหาฉีแน่นอนไม่ช่วยหาน เว่ยได้หานไปก็เข้มแข็งขึ้น ไม่เป็นคุณแก่ฉี ไม่ช่วยหานจึงไม่ถูกแต่เมื่อเว่ยบุกหาน หานยังมิทันรบ ฉีก็ไปรบแทน ทำให้ฉีเสียกำลัง หานกลับนั่งสบายใจเฉิบ ฉะนั้นที่เร่งไปช่วยหานในทันทีจึงไม่ถูกเช่นกัน” ฉีซวนอ๋องกับเหล่าขุนนางก็เห็นพ้องกับซุนปิน แต่แคว้นฉีควรจะทำประการใด ก็ยังคงถกเถียงกันมิมีข้อยุติ ฉีซวนอ๋องให้รู้สึกกลัดกลุ้ม จึงหันมาถามซุนปินว่า
“ช่วยก็ไม่ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ดี ท่านกุนซือมีความเห็นเป็นประการใดหรือ” ซุนปินจึงตอบว่า “เราควรจะตอบรับช่วยหาน ให้พวกเขาสบายใจ ว่ามีแคว้นฉีหนุนหลังพวกเขาอยู่จักได้ต่อต้านกับเว่ยอย่างสุดฤทธิ์ เว่ยก็จะตีหานอย่างสุดกำลัง รอจนเมื่อกำลังหานอ่อนเปลี้ย เว่ยก็เสียหายไปพอสมควร เราจึงยกทัพไปตีเว่ยช่วยหาน กำลังก็จะไม่เสียหายมากนัก แต่ผลได้จักเป็นทวีคูณ” ฉีซวนอ๋องจึงรับปากกับทูตหานว่าจะส่งกองทัพไปช่วยโดยเร็ว ผู้ครองแคว้นหานดีใจ ระดมกำลังต้านทานทัพเว่ยอย่างเต็มที่ แต่ก็พ่ายแพ้เป็นหลายครั้ง จึงส่งคนไปเร่งขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉีอีกฉีซวนอ๋องจึงตั้งให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษา ยกทัพไปช่วยแคว้นหาน
เมื่อกองทัพฉีพ้นจากดินแดนของตน เถียนจี้ก็สั่งให้มุ่งหน้าไปยังนครซินตูที่กำลังรบพุ่งกันอยู่
แต่ซุนปินห้ามไว้ กล่าวว่า “คราวก่อนเราช่วยจ้าวก็มิได้เข้าจ้าว คราวนี้ช่วยหานก็มิจำต้องเข้าแดนหานเช่นกัน”เถียนจี้จึงถามว่า “หรือท่านจักให้ทำตามแบบเดิมคราวนี้ถ้าพังจวนมองออก เรามิแย่หรือ” ซุนปินจึงตอบว่า“มีแต่บุกเข้าจุดที่เว่ยต้องถอนทัพกลับมาช่วย จึงจะช่วยหานไว้ได้ แม้จะรู้เขาก็จนปัญญา” เถียนจี้จึงสั่งทหารพุ่งเข้านครต้าเหลียงเฉกเช่นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน
พังจวนกำลังได้ใจที่ชนะทัพหานครั้งแล้วครั้งเล่า เสร็จจากจ้าวเราก็สามารถระดมรี้พลจากหานและจ้าวไปบุกฉี เมื่อหาน จ้าว ฉี ล่มแล้ว แผ่นดินนี้จักพ้นมือเว่ยได้ไฉนเราพังจวนก็จะเป็นขุนพลที่มีแต่ความดีความชอบหาผู้เสมอเหมือนมิได้” ในขณะที่พังจวนเคลิบเคลิ้มอยู่กับความฝันอันบรรเจิดอยู่นั้น ก็มีม้าเร็วมาส่งข่าวว่า “กองทัพฉีบุกเข้าแคว้นเว่ย กำลังเข้าตีนครต้าเหลียงให้พังจวนรีบถอนทัพกลับไปช่วยโดยเร็ว” พังจวนตกตะลึง “เมื่อคราวที่แล้วกำลังตีหานตานอยู่ ทัพฉีก็บุกเข้าเว่ยจนเราต้องถอนทัพกลับ คราวนี้ซินตูก็กำลังจะเข้าปาก ทัพฉีก็ตีเว่ยอีกเห็นที่จะต้องถอยทัพอีกแล้วคราวนี้”พังจวนให้รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก “คงจะเป็นฝีมือของเจ้าซุนปินอีกเยี่ยงก่อน ในชีวิตนี้ถ้าฆ่าเจ้าไม่ได้กับมือข้าก็จักไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป” แต่ก็จนปัญญา จำต้องถอยทัพกลับไปด้วยความเสียดายและเจ็บแค้นระคนกัน ส่วนเมืองหลวงซินตูของแคว้นหานก็รอดพ้นจากความพินาศไปอย่างหวุดหวิด และปลอดจากการถูกล้อมนครในบัดนั้น
ซุนปินได้ข่าวการถอยทัพกลับมาช่วยต้าเหลียงของพังจวนแล้ว ก็พูดกับเถียนจี้ว่า “การบุกตีจ้าวและหานทั้ง ๒ ครั้งของพังจวน แต่ถูกเราโจมตีนครต้าเหลียงจนต้องล้มเหลวลง พังจวนคงจะต้องแค้นเคืองเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าจักฉวยโอกาสนี้สั่งสอนเขาให้สำนึก ทหารแคว้นหาน จ้าวและเว่ยนั้น ลือชื่อในทางห้าวหาญส่วนทหารฉีของเรานั้นเล่า มักจะถูกดูหมิ่นว่าขี้ขลาดตาขาว ทหารของเว่ยก็ยิ่งมิเห็นทหารเราอยู่ในสายตา เราควรจะใช้การดูหมิ่นเช่นนี้ตกกระไดพลอยโจน แปลงส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เป็นประโยชน์เสีย ตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า การเร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นระยะทาง ๑๐๐ ลี้ เพื่อแสวงหาชัยชนะนั้น แม้แต่แม่ทัพทั้งสาม ( ทัพกลางปีกซ้าย ปีกขวา) ก็อาจตกเป็นเชลยได้ เพราะจะมีทหารเพียง ๑ ใน ๑๐ เท่านั้นที่ไปถึงที่หมาย ถ้าหากเร่งเดินทัพในระยะทาง ๕๐ ลี้ ทัพหน้าก็อาจ ประสบความล้มเหลว เพราะจะมีทหารถึงที่หมายเพียงครึ่งเดียว
ฉะนั้น เมื่อกองทัพของเราเข้าเขตเว่ย ก็จงทำให้ดูเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียกเพื่อลวงข้าศึกให้ตกหลุมพราง” เถียนจี้จึงถามว่า “ท่านกุนซือจักทำประการใดจึงลวงข้าศึกได้” ซุนปินจึงตอบว่า “พังจวนไล่ตามทัพเรามา เราควรจะรีบถอนตัวออกจากแคว้นเว่ยขณะถอยให้แสร้างทำเป็นตาลีตาลาน วันนี้ก่อเตาหุงต้ม สำหรับไพร่พล ๑๐ หมื่น พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ให้ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ รอเมื่อพังจวนไล่มาถึงเห็นเตาหุงต้ม เราลดน้อยลงไปเป็นลำดับ ก็คงเข้าใจว่าทหารเรารักตัวกลัวตาย หนีทัพเป็นครึ่งค่อน ก็เกิดความย่ามใจไล่ตามมิหยุด รอจนเมื่อเข้าเขตฉี ทหารเขาก็เหนื่อยเพลียหมดเรี่ยวหมดแรง ในตอนนั้น จึงค่อยหาอุบายจัดการศีรษะของพังจวนคงจะถูกกุดด้วยดาบของฝ่ายเราเป็นแม่นมั่น” เถียนจี้รับคำแล้วจัดการตามคำของซุนปินทุกประการ
พังจวนนำทัพเว่ยรุดกลับมายังนครต้าเหลียง ก็ทราบว่าทหารฉีถอยไปทางพรมแดนของตน ด้วยความโทสะคิดจะรบแตกหักบดขยี้ซุนปินให้ราบเป็นหน้ากลองจึงเร่งทัพเว่ยให้ไล่ตามทัพฉีไปมิรอช้า ตลอดทางพังจวนก็สั่งให้คนสังเกตดูร่องรอยของทหารฉีเพื่อทราบสภาพกำลังทัพ วันแรกก็พบว่ามีเตาหุงต้มสำหรับทหารถึง ๑๐ หมื่นคนก็ให้ตกใจ อุทานขึ้นว่า “ทัพฉีมีไพร่พลถึง ๑๐หมื่น จักดูเบามิได้” ในวันหลัง ๆ ต่อมาก็พบว่าลดเหลือ ๕ หมื่น ๓ หมื่นและลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ พังจวนดีใจนัก กว่าว่า “ทหารฉีร่อยหรอลงทุกวันคงจะหนีทัพกันไปกว่าครึ่งค่อนหาได้เป็นกองทัพอีกต่อไปไม่ เป็นโอกาสดีแก่เราพังจวนที่จะสร้างความชอบและแก้แค้นซุนปินเสียให้สาสม”ว่าแล้วก็เอามือตบหน้าผาก หัวเราะร่าด้วยความชอบใจ เว่ยเซินสงสัย พังจวนถึงแจ้งความคิดของตนให้ทราบเว่ยเซินเตือนว่า “คนเมืองฉีมากด้วยเล่ห์ ทั้งมีกุนซือซุนปินอยู่ด้วย ท่านขุนพลมิควรประมาท” พังจวนกลับย้อนเถียงว่า
“ เถียนจี้วันนี้ถึงคราวตายของมันแล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจักล้างแค้นเอาตัวเถียนจี้กับซุนปินมาให้ท่านดูเล่นเป็นขวัญตา”ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารชาญศึก ๒ หมื่นคนไล่ตามทัพฉีไปอย่างเร่งรุด มีตนเองกับเว่ยเซินเป็นผู้นำทัพ นอกนั้นก็มอบให้พังชงผู้เป็นหลานชายนำทัพตามหลังไป ซุนปินเมื่อวางอุบายไว้แล้ว ก็คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าศึกอยู่ตลอดเวลา เมื่อทราบว่าพังจวนกับเว่ยเซินนำกำลัง ๒ หมื่นไล่ตามมาทั้งกลางวันกลางคืน ก็คาดคะเนว่าพอพลบค่ำ ทัพของพังจวนก็จะมาถึงหม่าหลิงซึ่งเป็นหุบอยู่ระหว่างเขา ๒ ลูก ทางเดินก็อยู่ในหุบเขานั้น มีลำธารคดเคี้ยวไปตามซอกเขาริมทางเดินมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง นับเป็นชัยภูมิซุ่มตีชั้นยอด
ซุนปินจึงสั่งให้ทหารขูดเปลือกไม้ออกส่วนหนึ่งให้เห็นเนื้อไม้สีขาว แล้วใช้ถ่านเขียนอักษรไว้บนเนื้อไม้นั้นว่า “ พังจวนตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้” ครั้นแล้วก็ให้ทหารตัดต้นไม้มาสุมไว้เป็นภูเขาเลากาเพื่อขวางทางออกของทหารเว่ย แล้วให้กองทัพเกาทัณฑ์ ๑ หมื่นขึ้นไปซุ่มอยู่บนภูเขา สั่งว่า“ หากเห็นแสงไฟวาบสว่างขึ้นที่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนฟ้ามือ ก็ให้ระดมยิงไปยังที่นั้น” พร้อมกับสั่งให้เถียนอิงบุตรชายของเถียนจี้นำกำลังอีก ๑ หมื่น ซุ่มตัวห่างจาหม่าหลิงไป ๓ ลี้ รอเมื่อทัพเว่ยผ่านไปแล้วให้ปิดทางถอยเสียและรุกไล่โจมตีทางเบื้องหลังส่วนซุนปินกับเถียนจี้ก็ซุ่มอยู่อีกทางหนึ่ง คอยต้อนรับทัพเว่ยเข้ามาในกับดัก
พังจวนเร่งเดินทัพมาทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อขับไล่ให้ทันทัพฉีโดยมิได้คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของเหล่าทหารพอฟ้ามืดก็เข้ามาถึงหุบเขาหม่าหลิง เวลานั้นเป็นคืนข้างแรมของเดือนสิบ ไม่มีแสงจันทร์มีแต่แสงดาวริบหรี่ ทันใดนั้นทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งว่า “ ทางข้างหน้ามีต้นไม้ถูกตัดสุมขวางทางอยู่ เดินทัพต่อไปมิได้” พังจวนกลับคิดว่าชะรอยเถียนจี้กับซุนปินเห็นจวนตัวจึงตัดต้นไม้ขวางทางเราไว้มิให้ไล่ทัน จึงสั่งให้รีบรื้อถอนเอาต้นไม้ออกเสีย ทัพเว่ยจึงจุกกันอยู่เต็มในหุบเขาที่มีพื้นที่เท่ากระแบะมือ ครู่ใหญ่ทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งอีกว่า “ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่เขียนตัวอักษรอยู่หลายตัว ขอให้แม่ทัพไปตรวจดูด้วยตนเอง” พังจวนจึงไปยังต้นไม้นั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นตัวอักษร เพราะความมืด
จึงตะโกนสั่งทหารว่า “จุดไฟมาดู” พอทหารนำไฟเข้าไปส่องดู พังจวนก็หน้าถอดสีร้องขึ้นว่า “ เราหลงกลของเจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแล้ว” รีบสั่งให้ทหารเร่งถอยหลังกลับ แต่ก็ช้าเกินการณ์เกาทัณฑ์เป็นหมื่นระดมยิงดังสายฝนลงมาจากภูเขาเกือบจะพร้อมกันเมื่อเห็นแสงไฟ ทางข้างหน้าก็มีต้นไม้ขวางเป็นภูเขาอยู่ ข้างหลังเล่าก็มีทหารเป็นหมื่นปิดทางถอยทัพเว่ยทำอะไรไม่ได้แม้จะขยับตัว พังจวนก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าไปหลายดอก เจ็บกายมิเท่าเจ็บใจ พังจวนถอนหายใจยาวเฮือกสุดท้ายด้วยความปวดร้าว แหงนหน้าขึ้นฟ้าร้องตะโกนว่า “เราเสียใจนักที่ไม่ฆ่าเจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแต่ในครั้งกระโน้น วันนี้จึงกลับต้องมาช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของมันให้โด่งดังไปเสียอีก” ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาแทงตัวตาย พังอิงบุตรชายพังจวนซึ่งติดตามบิดามาติด ๆ ก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าที่สำคัญตายอยู่ข้างกายบิดานั้นเอง
เว่ยเซินซึ่งคุมทัพอยู่เบื้องหลัง เห็นไม่เป็นการ จึงสั่งทหารให้รีบถอยออกจากหุบหม่าหลิง แต่ก็ถูกเถียนอิงตีกระหนาบเข้ามาทหารเว่ยจึงแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เว่ยเซินถูกจับเป็น ขังไว้ในรถศึก ทหารชาญศึกของแคว้นเว่ย ๒ หมื่น แตกพ่ายยับเยิน ที่ตายก็ตาย ที่เจ็บก็เจ็บ อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายแหล่ก็ถูกฝ่ายฉียึดไปหมดสิ้น กองทัพฉีกลับเมืองด้วยความมีชัย แค้นของซุนปินได้รับการชำระไปสิ้นแล้ว ด้วยกลยุทธ์ที่ “ล้อมเว่ยช่วยจ้าว”และ “ล้อมเว่ยช่วยหาน” ที่โด่งดังมาแต่โบราณกาลตราบเท่าทุกวันนี้
อีกเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือเรื่องกรณีเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีถึงข่าวเปิดว่า เป็นกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่พึงพอใจดาราไทยที่กล่าวดูหมิ่นศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาต้องออกมาต่อต้านและเผาสถานทูตไทยในที่สุด แต่ถ้าวิเคราะห์ประกอบกับหลักฐานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจนแล้วจะเห็นว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นดังที่ทราบกันแต่อย่างใด แต่เป็นการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจที่แย่งชิงความเป็นใหญ่กันในภูมิภาคนี้ กล่าวคือ สหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะปิดล้อมจีนทุกวิถีทาง ในส่วนที่อยู่ทางด้านพม่าสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนให้ไทยก่อสงครามกับพม่าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของพม่า และเป็นเส้นทางแห่งผลประโยชน์อย่างมหาศาลของจีน จีนจึงต้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ( ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในกลยุทธ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพม่า )
ด้วยความพยายามอย่างยาวนานที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะให้ไทยเป็นเครื่องมือในการตัดเส้นทางดังกล่าวของจีนแต่ก็ยังไม่เป็นผลอีกด้านหนึ่งเมื่อฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขึ้นครองอำนาจอย่างสมบูรณ์เหนือกัมพูชาาฝ่ายอื่น ๆ ทำให้กัมพูชาเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น ฮุน เซน ต้องการที่จะสร้างชาติให้มีความเจริญขึ้นรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ จึงรับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากทุกฝ่ายทั้งฝ่ายของสหรัฐอเมริกา ฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายจีน ฝ่ายใต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ รวมทั้งกลุ่มประเทศจากสหภาพยุโรป
เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ทำให้สหรัฐฯ ไม่ลังเลที่จะทำการรุกเพื่อกำจัดอิทธิพลของจีนที่กำลังใช้อิทธิพลทางด้านการค้าของตนเข้าครอบงำกัมพูชา สหรัฐฯ ได้แสวงประโยชน์ส่วนหนึ่งจากการที่นักธุรกิจของคนไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา เป็นฐานในการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวของจีนกับรัสเซีย ซึ่งเครื่องตรวจจับดังกล่าวนี้ติดตั้งอยู่ที่ทำการบริษัทของคนไทยที่จีนเชื่อว่าเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐฯ เครื่องมือดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถที่จะเชื่อมโยงการทำงานด้านการตรวจจับการเคลื่อนไหวของทุก ๆ ประเทศในแถบทวีปเอเชีย ถึงออสเตรเลีย ถึงปักกิ่ง และถึงมอสโคว
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความคาดคิดของคนทั่วไปว่าเครื่องมือชนิดนี้จะทำได้ โดยมีดาวเทียมจำนวนมากเชื่อมต่อกับเครื่องมือเหล่านี้ ที่โคจรเหนือน่านฟ้าบริเวณทวีปเอเชีย จีนรู้ดีถึงเรื่องนี้เพราะเครื่องมือพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จีนได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดได้เช่นกัน เครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่อยู่ในกัมพูชา นับเป็นภัยคุกคามต่อจีนและรัสเซียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการปิดล้อมของสหรัฐฯ ต่อจีนมีหลายด้านทั้งด้านพม่าที่สหรัฐฯกำลังรุกจีนอย่างหนัก ด้านเกาหลี ด้านไต้หวัน แต่ด้านที่มาแรงที่สุดในขณะนั้นคือประมาณ ต้นปี ๒๕๔๖( ม.ค. ๒๕๔๖ ) คือด้านกัมพูชา จึงจำเป็นที่จีนจะต้องกำจัดหอกข้างแคร่ส่วนนี้ให้ได้
จีนจึงร่วมมือกับรัสเซีย และกลุ่มอียู พร้อมกับติดสินบน
ฮุน เซน จำนวนหนึ่งให้ช่วยสร้างเรื่องราวที่ดูแล้วสมเหตุสมผลหน่อยแล้วลงมือเผาที่ทำการบริษัทการค้าของไทยที่เป็นสถานที่ตั้งของเครื่องมือดังกล่าวจนเรียบแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นเรื่องความมีชาตินิยมของชาวกัมพูชาต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีชาวกัมพูชาแล้วชาวกัมพูชาบุกเข้าเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา พร้อมกันนั้น จีนยังขู่อีกว่าถ้าสหรัฐฯยังไม่ยุติการรุกด้านพม่าอีกจีนจะเผาเครื่องมือของสหรัฐฯ อีกหลายที่ จนทำให้สหรัฐฯ ยุติการรุกด้านพม่าไปโดยสิ้นเชิงจะเห็นว่าสหรัฐฯไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ ต่อการรุกด้านพม่าอีกเลย ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ถูกบีบคั้นให้สร้างความขัดแย้งกับพม่าอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้
แต่สหรัฐฯ หันกลับไปสร้างเรื่องที่อินโดนีเซีย และภาคใต้ของไทยที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ในขณะนี้แทน ( ๒๕๔๗ ) กลยุทธ์นี้ก็สามารถที่จะอธิบายได้ว่าจีนเข้าเผาทำลายเครื่องมือสำคัญของสหรัฐฯ เพื่อบีบบังคับให้สหรัฐฯต้องถอนกำลังและความพยายามทั้งหลายจากด้านพม่าที่นับว่าเป็นจุดศูนย์ดุลที่สำคัญของจีน ก็นับว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ท่านผู้อ่านสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง กรณีตัวอย่างที่สองนี้ อย่าเพิ่งเชื่อข่าวที่นำเสนอทั้งหมดที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ข่าวที่ดีควรจะฉุกคิดในด้านตรงข้ามกับข่าวที่ได้รับไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกครอบงำด้วยข่าวจากสื่อทั้งหลายที่มีผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังและมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่ตลอดเวลา ดังที่ซุน วู กล่าวว่า “ การสงครามทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของการลวง...” การใช้สื่อเสนอข่าวก็เป็นสงคราม ชนิดหนึ่งในยุคโลกาภิวัฒน์
กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“อย่าปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ควรใช้ยุทธวิธีวกวนที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนแบ่งแยกกำลังของข้าศึก ให้กระจายเป็นหลายส่วน แล้วจึงพิชิต”
Source : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=561.0
No comments:
Post a Comment