![]() |
โจโฉในสามก๊ก (ละครโทรทัศน์ 1994) แสดงโดยเปากั๊วอัน
|
ความสามารถประการหลักที่ทำให้โจโฉประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
ได้คือ "การเป็นคนใจถึง เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ"
โดยที่โจโฉเริ่มรับราชการจากตำแหน่งผู้บังคับการกองทหารนครบาลเหนือ
หลังจากเรียนจบบัณฑิตเมื่ออายุ
ประมาณ 20 ปี (ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจจะเทียบได้ว่าเรียนจบมาใหม่ๆ
ก็มาเป็น officer หรือ supervisor)
กระทั่งตำแหน่งสูงสุดที่โจโฉได้รับก่อนตายคือ "วุยอ๋อง (มหาอุปราช)"
ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นรองแค่ฮ่องเต้เท่านั้น เรียกได้ว่าไต่เต้ามา
จากพนักงานจบใหม่ระดับปริญญาตรีจนมาเป็น Managing Director (MD)
โดยอาศัยทั้งความสามารถตัวเองที่ร้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์และการรูู้จัก
โอกาสเข้ารับงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อการเติบโต.
ชีวิตของโจโฉในช่วงต้นขณะที่เริ่มทำงานใหม่ๆ นั้นค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรตั้งแต่โฮจิ๋นเรียกตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะก็ฮุบอำนาจรัฐทั้งหมดตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการ โจโฉคิดจะกำจัดแต่พลาดท่าโดนจับได้ ต้องหนีออดจากเมือง หลวงเอาชีวิตรอด โชคดีที่มีตันก๋งช่วยชีวิตไว้ จากนั้นโจโฉเริ่มตั้งตัวได้ก็ร่วมทัพ 18 หัวเมืองเพื่อกำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพ 18 หัวเมืองที่รวมตัวกันโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ มิใช่อยูู่บนวิสัยทัศน์เดียวกันก็พ่ายแพ้ต่อตั๋งโต๊ะอย่างราบคาบ แต่ ก็ยังมีคนดีเช่นอ้องอุ้นที่ใช้อุบายนางงามในการกำจัดตั๋งโต๊ะลงได้ หลังจากตั๋งโต๊ะตายแล้วก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตโจโฉ เมื่อเขาถือจังหวะนั้นเข้าแทนที่ตั๋งโต๊ะทันที แต่การเข้ามาของโจโฉนั้นต่างจากตั๋งโต๊ะ กล่าวคือตั๋งโต๊ะใช้อำนาจ และความถ่อยในการควบคุมราชสำนัก กดขี่ราษฎร หากแต่โจโฉถึงแม้จะใช้การข่มขู่ฮ่องเต้เหมือนกัน แต่กับราษฎรนั้น โจโฉดูแลด้วยความเป็นธรรม ทำให้ราษฎรไม่มีอาการต่อต้านเหมือนตั๋งโต๊ะ ซึ่งเมื่อโจโฉได้อำนาจไว้ในมือและสามารถ ควบคุมฮ่องเต้ไว้ในอาณัติของตนได้แล้ว ก็อ้างราชโองการในการปราบปรามผู้ต่อต้านทุกคนได้ จึงทำให้อำนาจของโจโฉขยายอย่างรวดเร็ว โดยโจโฉปราบทั้งอ้วนสุด ลิโป้ และอ้วนเสี้ยว ทำให้ครองความยิ่งใหญ่ทางตอนเหนือได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าต่อมาความยิ่งใหญ่ของโจโฉจะต้องสะดุด เพราะพ่ายแก่พันธมิตร "ซุน-เล่า" ในศึกผาแดง แต่เขาก็หนีกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลวงกำจัดกองทัพเสเหลียงอันเกรียงไกรของ ม้าเฉียวลง ซึ่งในเวลานั้นก็เหลือเพียงดินแดนเสฉวนของ เล่าปี่และดินแดนกังตั๋งของซุนกวนเท่านั้นที่ยังเป็นหอกข้างแคร่ของโจโฉ ซึ่งถ้าโจโฉกำราบดินแดนทั้งสองนี้ได้ แผ่นดินจีนทั้งหมดย่อมอยู่ในมือโจโฉ แต่ความเป็นจอมคนของทั้งเล่าปีและซุนกวนก็เป็นสิ่งที่โจโฉไม่อาจเอาชนะได้ และเขาก็ถึงแก่กรรมก่อนที่การใหญ่ที่คิดไว้จะสำเร็จ
วีรกรรมของโจโฉนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงความเป็นจอมคนของเขาทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าบางครั้งการแสดงออกของเขาจะสื่อถึงความโหดเหี้ยมไร้ความปราณี แต่ก็เป็นการแฝงด้วยการตัดสินที่เด็ดขาด รู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และเข้าถึงความรู้สึกของผูู้ใต้บังคับบัญชา
โจโฉและเล่าปี่วิจารณ์วีรบุรุษ
ชีวิตของโจโฉในช่วงต้นขณะที่เริ่มทำงานใหม่ๆ นั้นค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรตั้งแต่โฮจิ๋นเรียกตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวง ตั๋งโต๊ะก็ฮุบอำนาจรัฐทั้งหมดตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการ โจโฉคิดจะกำจัดแต่พลาดท่าโดนจับได้ ต้องหนีออดจากเมือง หลวงเอาชีวิตรอด โชคดีที่มีตันก๋งช่วยชีวิตไว้ จากนั้นโจโฉเริ่มตั้งตัวได้ก็ร่วมทัพ 18 หัวเมืองเพื่อกำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพ 18 หัวเมืองที่รวมตัวกันโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ มิใช่อยูู่บนวิสัยทัศน์เดียวกันก็พ่ายแพ้ต่อตั๋งโต๊ะอย่างราบคาบ แต่ ก็ยังมีคนดีเช่นอ้องอุ้นที่ใช้อุบายนางงามในการกำจัดตั๋งโต๊ะลงได้ หลังจากตั๋งโต๊ะตายแล้วก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตโจโฉ เมื่อเขาถือจังหวะนั้นเข้าแทนที่ตั๋งโต๊ะทันที แต่การเข้ามาของโจโฉนั้นต่างจากตั๋งโต๊ะ กล่าวคือตั๋งโต๊ะใช้อำนาจ และความถ่อยในการควบคุมราชสำนัก กดขี่ราษฎร หากแต่โจโฉถึงแม้จะใช้การข่มขู่ฮ่องเต้เหมือนกัน แต่กับราษฎรนั้น โจโฉดูแลด้วยความเป็นธรรม ทำให้ราษฎรไม่มีอาการต่อต้านเหมือนตั๋งโต๊ะ ซึ่งเมื่อโจโฉได้อำนาจไว้ในมือและสามารถ ควบคุมฮ่องเต้ไว้ในอาณัติของตนได้แล้ว ก็อ้างราชโองการในการปราบปรามผู้ต่อต้านทุกคนได้ จึงทำให้อำนาจของโจโฉขยายอย่างรวดเร็ว โดยโจโฉปราบทั้งอ้วนสุด ลิโป้ และอ้วนเสี้ยว ทำให้ครองความยิ่งใหญ่ทางตอนเหนือได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าต่อมาความยิ่งใหญ่ของโจโฉจะต้องสะดุด เพราะพ่ายแก่พันธมิตร "ซุน-เล่า" ในศึกผาแดง แต่เขาก็หนีกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลวงกำจัดกองทัพเสเหลียงอันเกรียงไกรของ ม้าเฉียวลง ซึ่งในเวลานั้นก็เหลือเพียงดินแดนเสฉวนของ เล่าปี่และดินแดนกังตั๋งของซุนกวนเท่านั้นที่ยังเป็นหอกข้างแคร่ของโจโฉ ซึ่งถ้าโจโฉกำราบดินแดนทั้งสองนี้ได้ แผ่นดินจีนทั้งหมดย่อมอยู่ในมือโจโฉ แต่ความเป็นจอมคนของทั้งเล่าปีและซุนกวนก็เป็นสิ่งที่โจโฉไม่อาจเอาชนะได้ และเขาก็ถึงแก่กรรมก่อนที่การใหญ่ที่คิดไว้จะสำเร็จ
วีรกรรมของโจโฉนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงความเป็นจอมคนของเขาทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าบางครั้งการแสดงออกของเขาจะสื่อถึงความโหดเหี้ยมไร้ความปราณี แต่ก็เป็นการแฝงด้วยการตัดสินที่เด็ดขาด รู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และเข้าถึงความรู้สึกของผูู้ใต้บังคับบัญชา
.
เหตุการณ์แรกที่แสดงถึง "ความใจถึง"
ของโจโฉคือ การอาสาไปลอบสังหารตั๋งโต๊ะ
กล่าวได้ว่าในสถานการณ์ตอนนั้นตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจสุดๆ แทบไม่มีใครกล้าไปแตะ
เพราะต่างก็กลัวตายทั้งสิ้น โจโฉจึงแสดงให้เห็นถึงความใจเด็ดโดยรับมีด
จากอ้องอุ้น (ขุนนางตงฉิน ผู้คิดหาทางกำจัดตั๋งโต๊ะเช่นกัน)
และอาสาไปลอบสังหารตั๋งโต๊ะขณะหลับ
ถึงแม้จะล้มเหลวเพราะตั๋งโต๊ะรู้ตัวตื่นก่อน
จนต้องแกล้งคุกเข่าแบบฉับพลันและทำเป็นว่าจะนำมีดมาเป็นของกำนัลเพื่อตบตา
แต่ก็แสดงถึงความใจเด็ดของโจโฉ ที่กล้าเอาหัวเข้าไปใส่ปากเสือ
.
โจโฉในสามก๊ก ฉบับภาพยนตร์ของจอห์น วู
(ที่มา : http://www.oknation.net/blog/index.php)
.
เหตุการณ์ต่อมาที่แสดงถึงความใจกว้างของโจโฉคือเมื่อครั้งที่เขายกทัพไป
ปราบเตียวสิ้ว
และโจโฉก็ได้บังคับให้เตียวสิ้วส่งน้าสะใภ้ที่เป็นม่ายเพื่อมาเป็นสนมของโจ
โฉ เตียวสิ้วจำเป็นต้องส่งให้โดยดี เพราะกำลังทัพของตนด้อยกว่าโจโฉมาก ได้
แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ
ในตอนนั้นที่ปรึกษาของเตียวสิ้วคือกาเซี่ยงได้แนะนำเตียวสิ้วว่าจุดตายของโจ
โฉในศึกครั้งนี้อยู่ที่ต้องกำจัดเตียนอุย (แม่ทัพเอก) ลงให้ได้
ซึ่งอาวุธคู่กายของเตียนอุยคือหอกคู่ หากเตียนอุยไม่มีหอกคู่นี้แล้วก็ไม่สามารถ
ทำอะไรได้ ว่าแล้วเตียวสิ้วจึงให้คนไปขโมยหอกคู่ของเตียนอุย
และบุกเข้าปล้นค่ายในตอนกลางคืน
เป็นเหตุให้เตียนอุยที่ไร้หอกคู่นั้นโดนเกาทัณฑ์กระหน่ำยิงจนตาย
ขับไล่กองทัพของโจโฉหนีกลับฮูโต๋ได้ การศึกครั้งนี้โจโฉเสียทั้งแม่
ทัพเอกเตียนอุยและลุตรชายคนโตโจงั่ง
ทำให้โจโฉจดจำความพ่ายแพ้นี้ไปตลอดชีวิต เพียงเพราะหลงในอิสตรี
ในเวลาต่อมาที่โจโฉยกทัพไปปราบอ้วนเสี้ยวที่มีกำลังมากกว่าตนถึง 10 เท่า
กาเซี่ยงในแนะนำเตียวสิ้วสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ เพราะ
กองทัพโจโฉที่เล็กกว่าย่อมให้ความสำคัญกับเตียวสิ้วมากกว่า
แต่เตียวสิ้วก็ยังลังเลว่าโจโฉจะยังไม่ลืมความแค้นในอดีตที่ตนทำให้โจโฉเสีย
ทั้งเตียนอุยและโจงั่ง แต่ก็จำต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก
ซึ่งก็เป็นดังที่กาเซี่ยงคาด โจโฉต้อนรับเตียว
สิ้วและกาเซี่ยงเป็นอย่างดี โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีต
โดยให้เตียวสิ้วเป็นรับตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาในกองทัพตนและตั้งกาเซี่ยงเป็น
ที่รึกษา แสดงถึงความเป็นจอมคนที่รู้จักใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึก
ไม่คำนึงถึงความแค้นในอดีต เพราะการใหญ่ย่อมสำคัญกว่า เหตการณ์นี้ทำให้โจโฉได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปเป็นอันมาก
เหตุการณ์ถัดมาที่บ่งบอกถึง "แวว"
ที่จะยิ่งใหญ่ของโจโฉคือ "ความใจใหญ่"
เมื่อครั้งโจโฉเพิ่งมีชัยเหนืออ้วนเสี้ยวในยุทธการกัวต๋อ
ซึ่งการรบในครั้งนั้นโจโแมีกำลังทหารน้อยกว่าอ้วนเสี้ยวหลายเท่า
(อ้วยเสี้ยวมีกำลัง 700,000 นาย ขณะที่
โจโฉมีกำลังแค่ 70,000 นาย)
แต่โจโฉสามารถเอาชนะโดยอาศัยการลอบเผาคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยว
ประกอบกับอ้วนเสี้ยวเป็นคนไร้สติปัญญา มากด้วยอุบาย แต่ไร้การตัดสินใจ
(ความล้มเหลวของอ้วนเสี้ยว เป็นบทเรียนให้กับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราได้ดีเลย สามารถดูเรื่องราวของอ้วนเสี้ยวจากที่นี่)
สุดท้ายโจโฉก็กำราบอ้วนเสี้ยวได้สำเร็จ จนอ้วนเสี้ยวต้องตรอมใจตายไปเอง
หลังจากจบศึกครั้งนี้ โจโฉได้รับรายงานจากการบุกยึดค่ายของอ้วนเสี้ยวว่า
มีการตรวจพบหนังสือยอมจำนนและขอ
สวามิภักดิ์ต่ออ้วนเสี้ยวของนายทหารทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ฝ่ายโจโฉขณะที่กำลัง
รบพุ่งกันอยู่เป็นจำนวนมาก
บรรดากุนซือจึงแนะนำโจโฉให้กำจัดคนที่มีชื่อในจดหมายเหล่านี้โดยการประหาร
ทิ้งเสีย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป แต่
โจโฉกลับบอกให้นำจดหมายเหล่านั้นไปเผาทิ้งเีสีย
โดยที่ไม่เปิดอ่านสักฉบับและให้เหตุผลว่า "ตอนที่รบกับอ้วนเสี้ยว
เรามีกำลังน้อยกว่าตั้งหลายเท่า เราเองยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเอาชนะยังไง
ประสาอะไรกับคนเหล่านี้เล่า ถ้าเราเป็นทหาร
ผู้น้อยเหล่านี้ เราก็ยอมสวามิภักดิ์อ้วนเสี้ยวเหมือนกัน เพื่อรักษาชีวิต"
คำพูดนี้แสดงถึงความใจใหญ่ได้อย่างชัดเจน โจโฉทำเช่นนี้
ยิ่งทำให้บรรดาผู้มีฝีมืออยากมาอยู่ด้วย
และยิ่งได้ใจเพื่อนร่วมงานไปได้อย่างหมดจด
ความใจใหญ่ของโจโฉยังไม่หมดแค่นี้
ขณะที่รบกับอ้วนเสี้ยวนั้น
อ้วนเสี้ยวได้มีอุบายใช้ให้ตันหลิมเขียนบทความให้ร้ายโจโฉ
และไปติดประกาศทั่ว เพื่อเป็นการให้ร้ายโจโฉ
และเพื่อหวังให้ทหารฝ่ายโจโฉเข้าใจผิดว่ากำลังรับใช้คนชั่ว เมื่อเสร็จสิ้นศึก โจโฉจับตันหลิมก็ไม่ได้ลงโทษแต่ประการใด แต่กลับเห็นแววตันหลิมในแง่อักษรศาสตร์และแต่งตั้งให้รับราชการกับตนอีกด้วย
.
อีกประเด็นหนึ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือเรื่องความใจกว้างในการใช้คนและ
การรับคนเข้าทำงานด้วยของโจโฉ โดยเขาเป็นคนมองคนที่ "ฝีมือ"
มากกว่าภูมิหลังในอดีตและเรื่องความแค้นส่วนตัว
จะเห็นได้ว่าทหารเอกของโจโฉกว่าครึ่งนั้นมา
จากผู้ที่สวามิภักดิ์ทั้งสิ้น เช่น เตียวเลี้ยว (ทหารเอกของลิโป้) เตียวคับ
(ทหารเอกของอ้วนเสี้ยว บังเต็ก (ทหารเอกของม้าเฉียว) เป็นต้น
หรือกุนซืออย่างกาเซี่ยง กุุยแก หรือ เขาฮิว
ซึ่งล้วนเป็นกุนซือของศัตรููที่เข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งสิ้น โจโฉ
ก็ได้ปฏิบัติกับทหารหรือกุนซือที่สวามิภักดิ์กับตนโดยเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็นทหารเดิมหรือเครือญาติของโจโฉเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์พิเศษใดในกอง
ทัพ ทุกคนเท่าเทียม หากใครทำผลงานดีก็ได้รับรางวัลและการเลื่อนตำแหน่ง
หรือหากใครทำผิดก็ย่อมไดรับการลง
โทษตามความเหมาะสม
ทำให้เกิดการแข่งขันในเรื่องสติปัญญาความสามารถภายในองค์กรของโจโฉมากกว่า
เรื่องเส้นสายและการให้ประโยชน์กับเครือญาติ
แถลงการณ์ของตันหลิม
.
ซึ่งเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความยิ่งใหญ่ของโจ
โฉนั้นมาจากการที่เข้าเป็นคนใจกว้าง ใจถึง เด็ดขาดและกล้าตัดสินใจ
ซึ่งก็ทำให้โจโฉนั้นสามารถตั้งตนเป็นเจ้าได้สำเร็จก่อนเล่าปี่และซนกวน
และทำให้วุยก๊กของโจโฉมีความเกรียง
ไกรมากกว่าก็กของเล่าปี่และซุุนกวนอีกด้วย
ถึงแม้ว่าปณิธาณของโจโฉจะไม่สำเร็จ 100% เพราะโจโฉถึงแก่กรรมเสียก่อน
แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า โจโฉคือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนึ่ง
ถ้าเทียบกับชีวิตทำงานแบบเราๆ ก็เหมือนกับว่าเติบโตจากลูกจ้างธรรมดาๆ มาเป็นใหญ่ในองค์กรโดยอาศัยความสามารถของตนเองล้วนๆ
เมื่อลองหันมาวิเคราะห์โจโฉ
แบบเปรียบเทียบกับวิถีทางการทำงานในปัจจุบันจะพบว่า
การที่เขาประสบความสำเร็จขึ้นมาได้นั้นเกิดจาก "ความใจใหญ่ ใจถึง" นั่งเอง
จะมีสักกี่คนที่ยอมเสี่ยงไปเล่นกับคนใหญ่คนโตของบริษัทคู่แข่ง (เมื่อมอง
เทียบกรณีที่อาสาไปลอบสังหารตั๋งโต๊ะ)
หรือจะมีสักกี่คนที่ยอมให้อภัยเพื่อนร่วมงานทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาทำ
ผิด (เมื่อเทียบกับกรณีเผาจดหมายยอมสวามิภักดิ์ต่ออ้วนเสี้ยวทิ้ง)
หรือจะมีสักกี่คนที่รับคนที่มีความแค้นส่วนตัวเข้าทำงานด้วยโดย
ไม่มีข้อแม้สักคำ
(เมื่อมองเทียบกับการรับเตียวสิ้งและกาเซี่ยงเข้าร่วมทัพของตน)
ประเด็นนี้เองที่ถึงแม้จะเป็นคนที่ภายนอกดูโหดเหี้ยม เด็ดขาด
แต่ก็ทำให้ผู้คนทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาให้การยอมรับโจโฉใน
ฐานะ "ยอดคน" ดังนั้นการที่จะประสบ
ความสำเร็จในหน้าที่การงานในแบบโจโฉได้ นอกจากจะต้องเก่งในงานนั้นๆ แล้ว
จะต้องมีเรื่องของจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กล่าวคือต้องใจกว้าง
รู้จักยอมรับ พลิกแพลงและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ให้ความสำคัญ
กับเรื่องส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตัว
เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เราเปิดใจกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
อันจะนำมาซึ่งการรู้จักให้อภัยและการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้ยอมรับในตัวเรา
ได้ด้วย.
source : http://samkokforsalaryman.blogspot.my
No comments:
Post a Comment